Warren Buffett “รวย” แล้ว “ให้” : นิตยสารผู้จัดการ

060831_buffet_hmed_4a.hmedium

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2549 Warren Buffett อภิมหาเศรษฐีหุ้นอันดับสองของโลก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่องค์กรการกุศล ด้วยการประกาศยกมรดกให้การกุศลเป็นหุ้นจำนวน 85% ของหุ้นส่วนทั้งหมดที่เขาถืออยู่ในบริษัท Berkshire Hathaway คิดเป็นเม็ดเงินมากถึง 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ให้แก่องค์กรการกุศล 5 องค์กรด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ มูลนิธิ Bill and Melinda Gates องค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลกของ Bill Gates อภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งจะได้รับในสัดส่วนสูงที่สุดคือ จำนวน 10 ล้านหุ้น หรือประมาณ 3 หมื่นล้านเหรียญ โดยทยอยรับเงินตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นจำนวน 5% และอีก 5% ของหุ้นที่เหลืออยู่ในปีต่อๆไป จนกว่าทั้ง Bill และ Melinda ไม่เกี่ยวข้องในมูลนิธิอีกต่อไป อย่างไรก็ดี เงินบริจาคส่วนนี้ไม่สามารถคิดเป็นเม็ดเงินที่แน่นอนได้ เพราะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่มีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลาในอนาคต

ถามว่าเหตุใดชายผู้นี้ที่มีเงินล้นฟ้า ผู้ที่ไม่เคยคิดจะให้เงินใครง่ายๆ แม้แต่ลูกๆ ของเขาเอง กลับกลายมาเป็นชายชราผู้ใจกว้างเมื่อวัย 75 ปี และในเดือนสิงหาคม 2549 เขาจะมีอายุครบรอบ 76 ปี ยอมสละเงินเกือบทั้งหมดที่เขามีอยู่ให้กับสังคมที่ต้องการการพัฒนาบนโลกที่ กำลังยุ่งเหยิงใบนี้… คำตอบมาจากปากของเขาเอง จากนิตยสารฟอร์จูน Buffett กล่าวว่า การตัดสินใจทั้งหมดนี้มีส่วนมาจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ Susan Thompson Buffett ภรรยาสุดรักของเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเธอมีอายุอ่อนกว่าเขา 2 ปี และเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ชอบพูดติดตลกเสมอว่า เธอจะมีชีวิตอยู่นานกว่าเขา และเมื่อเขาเสียชีวิต เธอจะได้รับมรดกหุ้นจากเขา และจะนำเงินที่ได้จากหุ้นบริจาคให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และเธอจะเป็นผู้ดูแลด้วยตัวเอง ดังนั้น Buffett ในฐานะที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องการสานฝันของภรรยาของเขาขณะที่เขายังมีลมหายใจ

เมื่อครั้งที่ Buffett แต่งงานกับ Susan ซึ่งเขาเรียกเธอว่า “Susie” เขาบอกกับเธอว่า “ผมจะต้องรวย” นั่นคือเวลากว่า 50 ปีที่แล้ว ซึ่ง Susan เองในขณะนั้นไม่ได้ใส่ใจหรืออาจจะไม่เชื่อด้วยซ้ำกับคำพูดของเขา ซึ่งอีก 10 ปีต่อมาหลังแต่งงาน Buffett ด้วยวัยเพียง 36 ปี มีเงินในบัญชีถึง 6.8 ล้านเหรียญ เมื่อ 40 กว่าปีก่อนเรียกว่าเป็นมหาเศรษฐีทีเดียว สองสามีภรรยาคิดไม่ถึงว่า พวกเขาจะมีเงินมากมายขนาดนั้น ต้องมานั่งคิดกันว่าจะทำอย่างไรกับเงินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงมาลงเอยที่ “คืนให้แก่สังคม” ซึ่งตรงกับความตั้งใจของ Susan ที่มีมาโดยตลอด เป็นที่มาของมูลนิธิ Buffett ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษาของ University of Nebraska ต่อมา Buffett เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิ Susan Thompson Buffett เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ภรรยาผู้ล่วงลับ

วันนี้เขาค้นพบองค์กรการกุศลที่เขาคิดว่า เป็นองค์กรที่จะสานต่อความตั้งใจของเขาและภรรยาได้อย่างดีที่สุด คือ มูลนิธิ Bill and Melinda Gates ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ Bill และ Melinda เป็นผู้ก่อตั้ง ดูแล และบริหารด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว จากพื้นฐานความเชื่อที่ว่า “ทุกชีวิตของคนบนโลกใบนี้มีความเท่าเทียมกัน” โดยเป็นมูลนิธิที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งมูลนิธิให้การสนับสนุนโครงการและการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องของ การศึกษา สุขภาพอนามัยและความเป็นอยู่ของประชากร โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา หรือสีผิว นับตั้งแต่การวางแผนครอบครัว ไปจนถึงโครงการขจัดและต่อสู้โรคร้ายต่างๆ เช่น เอดส์ มาลาเรีย และวัณโรค เป็นต้น นอกจากนี้เงินส่วนหนึ่งของมูลนิธินี้ยังมุ่งตรงไปที่การพัฒนาการศึกษาใน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และห้องสมุดในสหรัฐอเมริกาเองด้วย

หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใดเขาจึงไม่ยกหุ้นทั้งหมดให้แก่ลูกๆ ทั้ง 3 คน เขาให้เหตุผลว่า ลูกของเขาทั้ง 3 คน คือ Susan, Peter และ Howard เกิดมาในครอบครัวที่พรั่งพร้อมที่ให้ทั้งความรัก ความอบอุ่น และที่สำคัญคือ มีโอกาสที่ดี มีการศึกษาทั้งจากห้องเรียนและจากที่บ้าน พวกเขาสามารถตั้งตัวเองได้ในระดับต้นๆของสังคมอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น ลูกๆของเขาทุกคนก็จะได้รับมรดกจากเขาอยู่ดีเมื่อเขาหมดลมหายใจแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และมีเหตุผล ที่จะทุ่มเทพวกเขาด้วย “เงิน” (จำนวนมหาศาล) อีกในทางกลับกัน เขาคิดว่า “เงิน” อาจจะเป็นตัวทำลายลูกๆของเขาก็เป็นได้…นั่นคือสไตล์ของ Buffett

แต่กระนั้น องค์กรการกุศลที่ Buffett บริจาคหุ้นให้อีก 4 องค์กรนั้น ประกอบด้วย มูลนิธิของเขากับ Susan เอง คือ มูลนิธิ Susan Thompson Buffett ที่จะได้รับจำนวน 1 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบันมูลนิธินี้เน้นในเรื่องการวางแผนครอบครัวและการป้องกันการขยาย การผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนอีก 3 มูลนิธิเป็นของลูกทั้ง 3 คน จะได้องค์กรละ 350,000 หุ้นเท่าๆ กัน คือ มูลนิธิ Susan A. Buffett ซึ่งเป็นของลูกสาวคนเดียวของเขาที่มุ่งเน้นการศึกษาระดับเด็กเล็กสำหรับครอบครัวรายได้ต่ำ และจะขยายไปสู่การศึกษาระดับปริญญา รวมไปถึงให้ทุนสำหรับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มูลนิธิ Howard G. Buffett ของลูกชายคนโตที่เน้นในเรื่องของการพิทักษ์สัตว์ป่าในแอฟริกา และจะขยายไปยังโครงการอื่นที่เกี่ยวกับคุณภาพของน้ำ อาหาร และการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และสุดท้าย มูลนิธิ NoVo ของ Peter Buffett ลูกชายคนสุดท้อง ที่สนับสนุนทุนแก่บุคคลหรือองค์กรที่เปิดโอกาสทางด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และการเพิ่มความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน ในกลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันทางด้านวัฒนธรรม

Buffett กล่าวไว้ว่า ความมั่งคั่งของเขาไม่ได้มาจากคุณสมบัติพิเศษหรือการทำงานหนัก แต่มาจากการที่เขาเกิดมาถูกที่และถูกเวลา ผนวกกับความสามารถเฉพาะตัวที่สามารถแปลงหุ้นให้กลายเป็นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกรองจาก Bill Gates เพื่อนสนิทต่างวัยของเขาที่วันนี้กลายมาเป็นผู้ร่วมบุญ…

Buffett รู้จักกับ Gates มานานกว่า 10 ปี และเขามั่นใจและเชื่อใจว่า ทั้ง Bill และ Melinda สองสามีภรรยาที่ Buffett ขอร่วมอุดมคติด้วย จะสามารถดำเนินการบริหารและใช้เงินได้อย่างถูกวัตถุประสงค์ และก่อประโยชน์สูงสุด Buffett ยอมรับว่า เขาเองไม่มีความถนัดในเรื่องนี้ แต่เขาสามารถช่วยได้ในเรื่องของเงินทุนและการกำหนดนโยบาย ซึ่ง Buffett เชื่อว่า มูลนิธิ Bill และ Melinda เป็นองค์กรที่ดีที่สุดในโลกในขณะนี้ นอกจากนี้ Buffett ยังหวังว่า การตัดสินใจในครั้งนี้ของเขาจะเป็นตัวอย่างให้กับ “คนรวย” อีกหลายคนหันมา “คืนประโยชน์ให้แก่สังคม” มากขึ้น โดยไม่ต้องสร้างองค์กรการกุศลด้วยตนเอง แต่อุทิศทรัพย์สินของตนให้กับองค์กรที่มีนโยบาย และการดำเนินงานที่ตรงตามความตั้งใจของตนมากที่สุด

วันนี้ทั้งครอบครัว Buffett และครอบครัว Gates จับมือกันสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกันให้เกิดในทุกสังคม เท่าที่แรงกายและแรงใจของพวกเขาจะสามารถทำได้ และพร้อมที่จะสานต่อไปในอนาคต ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะคงเหลือเพียงแต่ชื่อให้จารึกไว้ในความทรงจำ…

Warren Buffett “รวย” แล้ว “ให้”
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2549
โดย มานิตา เข็มทอง

Author: admin

2 thoughts on “Warren Buffett “รวย” แล้ว “ให้” : นิตยสารผู้จัดการ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.