ถ้าคุณมีหลักการและข้อได้เปรียบอย่างชัดเจน การกระจายความเสี่ยงจะไม่ได้ช่วยคุณแต่มันจะฉุดคุณ หรือกล่าวแบบสั้นๆก็คือ :
‘คุณจะไม่สามารถทำผลตอบแทนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอได้ ถ้าหากคุณกระจายความเสี่ยงมากจนเกินไป’
เพราะการจะสร้างผลตอบแทนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอนั้น คุณต้องโฟกัสเฉพาะกลุ่มหุ้นที่ดีที่สุดในตลาด ซึ่งจะมีอยู่ราวๆ 4-20 ตัว ขึ้นอยู่กับขนาดพอร์ตของคุณและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
อันที่จริง เวลาที่การเทรดกำลังไปได้ดี ผมมักจะลงเงินของผมอยู่ในหุ้นเพียง 4-5 ตัวที่ผมติดตามอย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าคุณจะเคยได้ยินหรืออ่านอะไรมาก็ตาม มันไม่มีความจำเป็นใดๆเลยสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่จะต้องไปกระจายพอร์ตให้มากจนเกินไป
ข้อโต้แย้งที่ผมได้รับจากการแนะนำให้โฟกัสนั้น มาจากแนวคิดเดิมๆที่บอกว่า การกระจายพอร์ตเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องตัวคุณจากความเสี่ยง และยังสามารถทำผลตอบแทนได้ในระดับที่ใช้ได้
อย่างแรกเลย ผมไม่ได้สนใจผลตอบแทนแค่ระดับ “ใช้ได้” ผมต้องการผลตอบแทนก้อนโต และอย่างที่สอง ผมต้องการที่จะควบคุมความเสี่ยงได้ด้วยตัวเอง
คนที่ชอบกระจายพอร์ตออกไปมากๆจะแย้งว่า ถ้าหุ้น(หรืออุตสาหกรรม)นั้นร่วงลง หุ้นตัวอื่นหรือหมวดอื่นก็จะวิ่งขึ้นแทน และจะทำให้ผลรวมของพอร์ตคุณไม่ผันผวนขึ้นหรือลงมากจนไปเกิน
แต่การที่คุณซื้อหุ้นหว่านไปทั่วทุกหมวดและซื้อหุ้นหลายๆตัวที่แตกต่างกันไป คุณก็จะทำได้แค่ตามดัชนีหรือค่าเฉลี่ย
ซึ่งถ้าคุณโชคดี ผลตอบแทนของคุณก็จะสอดคล้องกับดัชนีตลาดที่กำไรดีที่สุด (ซึ่งกรณีนี้คุณแค่ซื้อ ETF ของ S&P 500 (SPY) ตัวเดียวเพื่อทดแทนการกระจายพอร์ตก็ได้)
แน่นอนว่าคุณอาจจะโชคดีที่กระจายพอร์ตในระหว่างช่วงตลาดกระทิงรุนแรง และสามารถทำกำไรได้อย่างสวยงามเพราะว่าหุ้นทั้งตลาดนั้นวิ่งขึ้นไปด้วยกันหมด
แต่การกระจายพอร์ตนั้นไม่ได้ช่วยคุณเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอหรือดีเช่นนี้ได้ทุกปี
การจะทำกำไรได้ดีอย่างสม่ำเสมอ คุณยังต้องใช้การโฟกัสกลุ่มหุ้นที่ดีที่สุด ในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการผลตอบแทนระดับสุดยอด หรือการทำกำไรเฉลี่ยต่อปีได้ถึง 40-100% หรือมากกว่านั้น คุณจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถทำผลตอบแทนชนะตลาดได้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ คุณจะต้องสร้างกำไรส่วนเพิ่มจากผลตอบแทนของตลาด หรือ “alpha”
แต่ผมต้องย้ำให้ชัดเจนว่า การโฟกัสนั้นไม่ได้หมายถึงการนำเงินทั้งหมดของคุณไปใส่ไว้ในหุ้นตัวเดียว
ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณอาจจะตื่นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเงินของคุณหายไปแล้วครึ่งนึง!
คุณสามารถทำผลตอบแทนระดับสุดยอดได้ด้วยการโฟกัสในหุ้นกลุ่มหนึ่ง พิจารณาตัวอย่างจาก Ken Heebner ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนที่ Capital Growth Management
โดย Ken บริหารเงินเป็นพันล้านเหรียญด้วยหลักการโฟกัส เงินลงทุนกว่า 80% ของเขาจะอยู่ในหุ้นเพียง 15-20 ตัว
ถ้า Ken สามารถบริหารเงินหลักพันล้านได้ในหุ้นแค่ 20 ตัว แน่นอนว่าคุณก็สามารถบริหารพอร์ตกับหุ้นเพียงแค่ 5-10 ตัวได้
ผมไม่ได้แนะนำว่าให้คุณอัดหุ้นไม่กี่ตัวแล้วเทรดอย่างดุดันตลอดเวลา แต่ตรงข้ามกันเลย หนทางที่จะทำเงินก้อนโตในตลาดหุ้นคือ การโฟกัสในจังหวะที่ถูกต้อง
นั่นคือตอนที่สิ่งต่างๆกำลังไปได้ดีและการเทรดเคลื่อนไหวไปตามที่คุณคาด และชะลอการเทรดลงในช่วงเวลาที่การเทรดนั้นยากลำบาก
นั่นหมายถึงการที่คุณจะต้องระมัดระวังและจับตาดูหุ้นในลิสของคุณเป็นอย่างดี ซึ่งคุณจะไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพหากคุณถือหุ้นหลายสิบตัวหรือเยอะเกินไป
การบริหารพอร์ตแบบโฟกัส จะทำให้คุณสามารถจับตาดูหุ้นทุกตัวในลิสและเคลื่อนไหวทันท่วงทีไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อหรือขายหุ้นแต่ละตัว
คุณสามารถเพิ่มสัดส่วนการเทรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม และคุณก็สามารถเปลี่ยนกลับไปถือเงินสดได้อย่างรวดเร็ว
ความคล่องตัวและรวดเร็วคือข้อได้เปรียบที่ดีของคุณ
เหตุผลอีกข้อว่าทำไมผมถึงไม่ชอบการกระจายพอร์ต เพราะมันจะทำให้เรามีการรับรู้หรือตระหนักถึงอาการของหุ้นผิดเพี้ยนไป
เมื่อคุณหว่านซื้อหุ้นหลายตัวคุณก็มักจะทำแค่ถือเอาไว้แล้วลืมพวกมันไปเลย
ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณต้องทำ ถ้าคุณต้องการสร้างผลตอบแทนระดับสุดยอด
เพราะการบริหารพอร์ตอย่างโฟกัสและใส่ใจกับหุ้นไม่กี่ตัวที่เลือกมาอย่างดี และคอยจับตาดูพวกมันอย่างใกล้ชิด จะทำให้คุณสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ
และคุณก็จะทำเงินก้อนโตได้ เมื่อเกิดโอกาสขึ้นมาและคุณคิดถูก…
…
*ตัวอย่างจากหนังสือ Think & Trade Like a Champion ภาษาไทย