หลังจากที่ SET พีกไปเมื่อปี 2013 ตลาดหุ้นไทยก็อยู่ในภาวะ Sideway ใหญ่ ขึ้นๆลงๆสลับกันอยู่เกือบ 4 ปีเต็ม
จนเมื่อต้นเดือนกันยายน 2017 ตลาดเกิด FTD และ Breakout กลับเข้าสู่ภาวะ Strong Uptrend หุ้นวิ่งขึ้นทั้งแผงแบบที่เราไม่ได้เห็นกันมานานพอสมควร
SET rally ในเดือนกันยายน พอเข้าสู่เดือนตุลาคมก็เป็นช่วงที่ตลาดและหุ้นเริ่มพัก consolidate เพื่อรองบ Q3 กัน
SET Breakout & Consolidate (คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่)
ช่วงที่ตลาดและหุ้นรายตัวพัก สิ่งสำคัญที่เราต้องสังเกตก็คือ การย่อตัวลงมานั้นรุนแรงมากน้อยแค่ไหน และอาการเมื่อทดสอบแนวสำคัญต่างๆ เช่น เส้น ma 50 วัน , ma 200 วัน , test support เดิม
เวลาตลาดหรือหุ้นย่อแรง เราอาจจะรู้สึกกดดัน กลัว แต่อย่าลืมว่าในภาวะตลาดขาขึ้น โอกาสซื้อที่ดีมักจะเกิดตอนที่หุ้นย่อตัวลงมา (ซื้อ pullback ในขาขึ้น)
จากที่เราเห็น พอตลาดเริ่มพักรองบ ก็มีการย่อลงมาเทสเส้น MA 50 วัน ในขณะที่กลุ่มหุ้น leader หลังจากวิ่งขึ้นมาแล้วพักกัน พอถึงช่วงงบออก หุ้นที่งบดีก็เริ่ม breakout และวิ่งขึ้นรอบใหม่หลังงบได้
อาการเหล่านี้ถือว่าเป็นการพักที่ดูดี น่าลุ้นขึ้นต่อไป
สำหรับแนวทางการเลือกหุ้น ปกติผมจะแบ่งเป็นสองช่วงคือ
1. ช่วงก่อนงบออก : ช่วงนี้ Leader จะเป็นหุ้นตัวไหนกลุ่มไหนก็ได้ โดยเฉพาะเวลาตลาดดี จะมีหุ้นที่วิ่งตามน้ำขึ้นไปก่อน แต่พองบออกมาไม่ดีจริงหุ้นพวกนี้ก็มักจะจบรอบอย่างรุนแรง (kill ตอนงบออก)
หุ้นกลุ่มนี้คือหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจไม่ได้ดีอะไรมาก แต่อาจจะมี story หรือมีคนลุ้นงบจำนวนมาก จึงเกิดการไล่ราคาขึ้นไปก่อนที่จะโดนเฉลยตอนงบออก
การเทรดหุ้นช่วงก่อนงบออกจึงต้องระมัดระวังให้มาก อย่างที่มีการเตือนไว้หลายครั้งในหนังสือ Momentum Master ครับ
2. ช่วงหลังงบออก : เป็นช่วงเวลาที่หุ้นนำตลาดที่ีผลกำไรและแนวโน้มธุรกิจดีจริงโผล่หน้าออกมาให้เราเห็นกันมากขึ้น
หลังงบออกเราจึงควรโฟกัสไปที่ ‘Real Leader’ ซึ่งในช่วงนี้จะเป็นหุ้นที่มีลักษณะดังนี้
- Big Growth : กำไรเติบโตสูงอย่างโดดเด่น แนวโน้มธุรกิจยังดีได้ต่อเนื่อง
- Big Volume : อาการหลังงบที่ดีคือการที่หุ้น breakout พร้อม volume มหาศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่า งบดีจริงหรือดีเกินคาด และหุ้นมี demand เข้ามาจำนวนมาก
- Liquidity : ในปัจจุบัน เรากำลังอยู่ในภาวะ Global Stock Rally นั่นคือ Fund Flow จำนวนมหาศาลในโลกต่างไหลเข้าหุ้น Growth Stock คุณภาพดี แต่สิ่งสำคัญคือ หุ้นตัวนั้นควรมีสภาพคล่องเพียงพอ สามารถรองรับการเทรดของเงินเหล่านี้ได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปีนี้หุ้นที่มีขนาดกลางค่อนไปใหญ่ถึงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก (และหุ้น mai) เพราะบริษัทที่มี size ใหญ่พอสมควรจะถือว่ามีคุณภาพและความน่าเชื่อถือ (maturity & quality) ที่ดูดีกว่าหุ้นเล็ก ถ้าเราดูกราฟ mai เทียบกับ set ก็จะยิ่งเห็นภาพชัดเจนครับ
ตัวอย่างหุ้น Big Volume สังเกตได้ชัดเจนจากแท่งเขียวโดดเด่นกว่าแท่งแดง
กราฟตลาด mai (หุ้นเล็ก) ไม่ขึ้นเลยในภาวะ Global Stock Rally ปีนี้
…
สรุปอาการโดยรวมของทั้ง SET และหุ้นรายตัว ยังถือว่าดูดีแข็งแรงอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้ ที่เรียกได้ว่าเป็นปีทองของตลาดหุ้นทั้งโลกเลย (แต่หุ้นไทยยังถือว่าขึ้นน้อยกว่าประเทศอื่นเยอะครับ)
หลังจากช่วงที่ตลาดและหุ้นขึ้นแรง ให้คอยสังเกตหุ้นใน watch list ของเราว่าการพักตัวยังดูแข็งแรงปกติดีหรือไม่ หุ้นทนทานต่อแรงขายทำกำไรได้ดีแค่ไหน หรือเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้เราระมัดระวัง
ตราบใดที่ความแข็งแรงยังมีให้เห็นอยู่ ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล อย่ากลัวตลาดจนเกินไป ในตลาดขาขึ้น เวลาหุ้นย่อแต่ไม่หลุดมักจะเป็นโอกาสซื้อที่ดี (ถ้าหลุดก็ค่อย cut loss)
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เราควรเลือกหุ้นรายตัวให้ดี โฟกัส Big Growth , Big Volume อย่าลืม Liquidity ของหุ้น
และเมื่อเราเลือกหุ้น uptrend ที่ชอบได้แล้ว พยายาม manage การเทรดให้ดี เกาะไปกับมันให้สุดทาง หรือ ‘Go with the Flow’ ครับ
…
Blog 80 : Market Note Q4/2017 – ‘Go with the Flow’
21 พฤศจิกายน 2017