ผมเพิ่งดูซีรีย์เรื่อง ‘Breaking Bad’ ซึ่งมีทั้งหมด 5 season ใช้เวลาดูอยู่นานกว่าจะจบ และเป็นหนึ่งในสาเหตุว่าทำไมช่วงนี้ถึงไม่ค่อยได้เขียนบทความหรืออัพเพจบ่อยนัก 555+
เหตุผลที่สนใจเรื่องนี้เพราะอ่านโพสในเวบหนึ่งว่าเรื่องนี้สุดยอดจริงๆ ได้ rating ของเวบ IMDB ถึง 9.5-9.6 ซึ่งถือว่าสูงมาก (อ้างอิง) และก็เป็นหนึ่งในซีรีย์ยอดฮิตของประเทศ USA เลยทีเดียว
หลังจากดูจบแล้ว ก็พบว่าเรื่องนี้ให้ข้อคิดและบทเรียนที่ดีมากหลายประการจริงๆ จึงเขียนสรุปออกมาเป็น blog ตอนนี้ครับ
(ยาวพอสมควร แต่พยายามเขียนแบบไม่สปอยล์นะครับ)
1. “ความร่ำรวยที่ขาดคุณธรรม คุณค่าเบาบางดุจปุยเมฆ” – หงสาจอมราชันย์
ตั้งแต่ season 1-5 จนจบ ประโยคจากการ์ตูนเรื่องหงสาจอมราชันย์นี้ ลอยเข้ามาในหัวผมตลอดเวลา เพราะมันคือสิ่งที่ครอบคลุมเนื้อหาและแก่นของเรื่องนี้จริงๆครับ
ตัวเอกของเรื่องเริ่มจากความต้องการเงินก้อนหนึ่งเพื่อมารักษาตัวจากโรคมะเร็งและเพื่ออนาคตของลูก แต่เพราะฐานะครอบครัวที่ย่ำแย่และชีวิตการงานที่ดูไร้ค่ามาก ทำให้เขาหันเข้าสู่เส้นทางที่ผิด และถลำลึกจนเป็นอาชญากรที่ถอนตัวออกจากวงการไม่ได้
จริงอยู่ที่แม้เขาจะทำเงินได้มากมายมหาศาล มากกว่าที่ต้องการในตอนแรกอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าความร่ำรวยของเขานั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่า สาเหตุหลักก็เพราะว่า ‘มันเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่สุจริต’
เขาไม่สามารถนำมันมาให้ครอบครัวใช้ได้อย่างสบายใจ รวมไปถึงการที่ต้องคอยระวังความปลอดภัยในชีวิตอยู่ตลอดเวลา และยิ่งมีเงินมากขึ้นเท่าไร ความวิตักกังวลของเขาและภรรยากลับเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เพราะต้องหาวิธีปกปิดอยู่ตลอดเวลา
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เงินเหล่านี้แหละที่ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยก ชีวิตพังทลาย…
ตัวเอกอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ช่วย หลังจากที่ทำเงินร่วมกันมานาน พอมาถึงจุดหนึ่งก็เริ่มสำนึกในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป และทำให้เขาไม่ได้มีความสุขเลยกับเงินจำนวนมากที่ได้มาจากวิธีการที่พวกเขากระทำต่อคนอื่น
หากเราลองมองในชีวิตจริงและทุกวงการอาชีพ ก็จะเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะว่า
– ความร่ำรวยหรือความสำเร็จที่ได้จากการโกง การทุจริต หรือทำสิ่งผิด ถึงแม้จะมีเงินมากแค่ไหน แต่คุณและครอบครัวจะไม่สามารถภาคภูมิใจกับมันได้เท่าไรนัก
– เงินที่ได้มาจากการทำผิด ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างอิสระหรือสบายใจ เมื่อได้เงินมาคุณต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ หรือไม่ก็หาทางฟอกเงิน
– คุณจะไม่ได้รับการยอมรับหรือชื่นชมจากสังคม เพราะเงินที่ได้มานั้นไม่ถูกต้อง และสังคมย่อมไม่ยอมรับหากรู้วิธีการได้มาซึ่งความร่ำรวยของคุณ
– ถึงแม้คุณอาจจะโกหกคนอื่นได้ แต่คุณย่อมรู้ดี และคุณก็ไม่สามารถหลอกตัวเองและครอบครัวไปได้ตลอดอย่างแน่นอน
…
2. คนดีสามารถเปลี่ยนเป็นคนเลวได้เสมอ หากมีแรงจูงใจที่ดีพอ และบางคนที่ภาพลักษณ์ทางสังคมดูดี ความจริงแล้วเขาอาจจะเลวกว่าที่ทุกคนคิดไว้ก็เป็นได้
‘ครั้งแรกที่คนเราสัมผัสกับอาชญากรรม จะรังเกียจมัน แต่ถ้าเขายังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จะเริ่มเคยชินและทนกับมันได้ เขาจะรับมันไว้และถูกครอบงำในที่สุด’
– Napoleon Hill, Think and Grow Rich –
ซีรีย์เรื่องนี้แสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวเอก จากด้านคนดี (เป็นครูสอนวิชาเคมีธรรมดาๆ) เปลี่ยนไปถึงขั้นโคตรเลว (Extreme Bad) ได้อย่างสมจริงและมีเหตุมีผลมาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
โดยพัฒนาการด้านความเลวของเขา จะค่อยๆรุนแรงขึ้น ไล่จากซีซั่น 1 ไปจนถึงซีซั่นสุดท้ายเลยครับ เหมือนเขียนบทให้เนื้อหาเข้มข้นน่าติดตามต่อเนื่องมากขึ้น
แรงขับดันของเขาก็มาจากเรื่องของแรงจูงใจในชีวิตการงาน , ความโลภที่มากเกินไป , โกหกจนเป็นนิสัย , ความหยิ่งผยองและการทำเลวจนชินชา นอกจากนี้ เขายังมีอิทธิพลทำให้คนอื่นต้องทำเลวตามเขามากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย เรียกได้ว่าแทบจะครบทุกปัจจัยเลยจริงๆ
ผู้ช่วยของเขาซึ่งตอนเริ่มต้นอาจจะดูเป็นคนเลวกว่าครูคนนี้ แต่พอมาช่วงหลังก็กลายเป็นว่าเขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีกว่า คือเหมือนว่าเป็นคนเลว แต่ก็ยังมี limit ของตัวเอง และกลับมามีส่วนที่เป็นคนดีมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
ในขณะที่คุณครูที่ตอนแรกเป็นคนดีกลับไม่สามารถคุมตัวเองได้ และกลายเป็นคนเลวแบบหลุดโลกไปเลย
ตัวละครอีกคนหนึ่ง มีภาพลักษณ์ทางสังคมที่ดูดีมาก เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทุกฝ่าย แต่ใครจะรู้ได้(นอกจากลูกน้อง-คนสนิท) ว่าเบื้องหลังของเขานั้นเลวร้ายขนาดไหน
ซีรีย์เรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นว่า ความดี-เลวนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือคงทนถาวร และมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์และการตอบสนองในชีวิตของแต่ละคนเป็นอย่างไร
ที่จริงแล้วในสังคมมนุษย์เรา มันก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันนะครับ คนที่ดูดีก็อาจจะมีสิ่งเลวร้ายแฝงอยู่ หรือแม้แต่คนที่ดูเลวจริงๆแล้วก็ยังมีหลายระดับ เช่น บางคนก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเป็นภัยอะไรมาก เป็นต้น
หากลองสรุปแล้ว ผมคิดว่าเราต้องอย่ามองคนที่ภาพลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนนั้นมีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่เลว ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะควบคุมตัวเองให้ส่วนไหนมันแสดงออกมามากกว่ากัน
และเราก็ควรมองถึงเหตุผลเบื้องหลังที่คนแต่ละคนเลือกทำสิ่งต่างๆออกมาด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจกันมากขึ้นครับ
…
3. คนเราย่อมได้รับผลกรรมตามสิ่งที่เราทำไว้ในอดีตเสมอ
‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ – นี่คือสัจธรรมในเรื่องนี้และในชีวิตจริงครับ (คล้ายกับเรื่องลากเส้นต่อจุดของ Steve Jobs)
ตัวละครหลายคนสุดท้ายต้องพบจุดจบที่ไม่สวย แต่หากมองย้อนกลับไปในสิ่งที่เขาทำในอดีต มันก็อาจจะสมควรแล้วกับสิ่งที่พวกเขาทำลงไปในตอนแรก
คุณทำสิ่งใดไว้ในอดีต แม้ว่าที่่ผ่านมาหรือปัจจุบันอาจจะยังไม่เห็นผลกระทบอะไร แต่ในท้ายที่สุดผลของมัน(กรรม)นั้นย่อมตามมาทันเสมอ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
…
4. ความโลภและการรู้จักพอ
การมีความโลภนั้นอาจช่วยให้ชีวิตก้าวหน้า เพราะมันทำให้คุณต้องพัฒนาตัวเองและต่อสู้เพื่อเป้าหมาย แต่จงระวังอย่าให้มันทำลายคุณและครอบครัว
ในเรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อตัวเอกเห็นว่ามีช่องทางทำเงินมากขึ้น ทำให้ความโลภมาบังตาและเริ่มทำลายชีวิต เขาหลงลืมไปว่าที่จริงแล้วเขาต้องการอะไรในตอนเริ่มต้น
แม้ว่าจะมีเงินมากแล้วก็ตาม แต่ความโลภทำให้เขาอยากได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่ยอมออกจากวงการทั้งๆที่มีโอกาสวางมือหลายครั้ง
‘คนเราจะสุขได้เท่าที่ใจเราต้องการ’
ในชีวิตจริง คุณควรตอบตัวเองให้ได้ว่ามีเท่าไรถึงจะเริ่มพอ หลายคนมีเงินทองมากมายแต่ก็ยังไม่มีความสุขในชีวิต หรือบางคนอาจจะคิดว่าต้องมีเงินมากๆก่อนถึงจะมีความสุขที่้ต้องการ
ที่จริงแล้วส่วนหนึ่งของความสุขนั้นมาจากการรู้จักพอครับ เมื่อเราคิดว่าเราพอหรือไม่ได้จำเป็นต้องมุ่งหาเงินมากๆเพียงอย่างเดียว เราก็จะเริ่มมองและใช้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งทำให้เรามีความสุขกับสิ่งรอบตัวมากขึ้นนั่นเอง
…
5. ความสุขที่แท้จริง มาจากการมีครอบครัวและมิตรสหายที่ดี
เงินสามารถซื้อความสุขบางอย่างและทำให้ชีวิตเรามีทางเลือกที่ดีขึ้นได้ แต่ถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีเงินเกินความต้องการที่แท้จริงของเรา เงินที่เพิ่มขึ้นจะไม่สามารถเพิ่มความสุขให้เราได้อีกแม้แต่นิดเดียว
ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ความสุขที่แท้จริงของตัวเอกคือ การมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่การที่เขามุ่งทำเงินอย่างเดียว (ทำเงินแบบผิดๆอีกด้วย) กว่าที่ตัวเขาจะสำนึกได้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
มิตรสหายเพื่อนฝูงที่ดี ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะนอกจากจะคอยช่วยเหลือกันแล้ว ในหลายครั้งที่คำแนะนำต่างๆสามารถเปลี่ยนตัวเอง หรือช่วยเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตของเราได้ครับ
ส่วนจะได้คำแนะนำที่ดีหรือไม่ดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกคบกับคนแบบไหน สภาพแวดล้อมรอบตัวคุณเป็นอย่างไร เพราะมันจะเป็นสิ่งที่มีผลต่อแนวคิดและการใช้ชีวิตของเราครับ
…
ที่จริงแล้วซีรีย์เรื่องนี้ยังมีข้อคิดอะไรอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้เขียนเอาไว้ ซึ่งผมอยากแนะนำให้ลองดูกันเพิ่มเติม เพราะ rating 9.5 ที่ได้มานั้นสมเหตุสมผลจริงๆ ทั้งการแสดง บทของตัวละคร ความสมจริง ฯลฯ
บทความนี้จึงเป็นเพียงบทเรียนหลักๆที่น่าสนใจจากเรื่องนี้ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ครับ…
Blog 42 : บทเรียนชีวิตจากสุดยอดซีรีย์ ‘Breaking Bad’
www.sarut-homesite.net
15 ธันวาคม 2013