“Hope for the best, but prepare for the worst.”
หลังจากที่เห็นงบ Q3 ของบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดแล้ว น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมช่วงกลางปีหุ้นถึงร่วงลงมาเยอะ และที่เราเห็นหลายตัวตกลงมา 30-50% จากราคา high เมื่อได้ลองดูงบการเงินแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าหุ้นยังไม่ ‘ถูก’ เลยด้วยซ้ำ
การที่หุ้นร่วงลงแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่าน จึงกลายเป็นการกลับมาหาจุดสมดุลระหว่าง ‘ราคาหุ้น’ และ ‘พื้นฐานกิจการ’ นั่นเอง
และนี่เป็นข้อแนะนำที่ผมคิดว่าเหมาะกับตลาดในช่วงนี้ครับ
– คัดเลือกหุ้นที่กำไรปกติยังเติบโตได้ดี สวนทางกับหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด ราคาหุ้นยังไม่แพงเวอร์หรือยังสมเหตุสมผลอยู่ มีประเด็นการเติบโตที่น่าสนใจ-จับต้องได้จริงๆ ไม่ใช่จากข่าวลือหรือโปรเจคในฝัน
“จะจับปลาตัวใหญ่ ควรไปในบ่อที่ไม่มีคน” – พี่โจ ลูกอีกสาน
: จะหาหุ้นที่ให้กำไรดี ก็ควรค้นหาหุ้นดีที่ยังมีคนติดตามไม่มาก หรือตลาดยังไม่รับรู้ว่าหุ้นตัวนั้นมีอะไรดี
– ถ้าดูกราฟเป็น ลองหาหุ้นที่มีแนวโน้มธุรกิจและกำไรเติบโตดี หุ้นพวกนี้แม้ว่าราคาหุ้นหรือข่าวสารจะดูเงียบๆ แต่มักเห็นการ support buy อยู่เป็นระยะๆที่แนวรับ
– เมื่อเลือกหุ้นที่กำไรโตมาแล้ว ควรศึกษากิจการและหาข้อมูลแนวโน้มธุรกิจเพิ่มเติมด้วย ประเมินว่าธุรกิจจะยังดีต่อเนื่องได้หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปซื้อหุ้นที่กำไรดีแค่ชั่วคราว ในกรณีที่หุ้นนั้นหาข้อมูลได้ยาก เราอาจใช้กราฟช่วยดูแนวโน้มแทนได้
– มองหา Low-Risk Entry point จะดูกราฟ หรือจะคำนวนปันผล-ประเมิน p/e ก็ได้ครับ แบ่งไม้ทยอยรับหุ้นไปเรื่อยๆ อย่ารีบร้อนซื้อจนเงินสดเหลือน้อย เพราะในตลาดหุ้นถูกแล้วก็ยังมีถูกกว่าได้เสมอ
– สิ่งสำคัญคือเราควรมีจุด stop ที่กำลังดี คือไม่ห่างเกินหรือใกล้จนเกินไป เพราะหากว่าตลาดกลับมาเป็นขาลงรุนแรง หรือหุ้นตัวนั้นมีอะไรผิดปกติที่เราไม่รู้จริงๆ ก็จะได้ไหวตัวทัน
– ในช่วงที่ตลาดยังไม่ได้เป็นขาขึ้นชัดเจน เราไม่จำเป็นต้องรีบไล่ซื้อหุ้น ซื้อ break-out หรือหุ้นที่เล่นกันไปเยอะแล้ว เพราะการเทรดแนวทางนี้ในตลาดที่ขาดโมเมนตัมขาขึ้น มักจะไม่ได้ผล รอซื้อตอนย่อลงมาจะปลอดภัยกว่ามาก (ไม่เหมือนช่วงต้นปี ที่ตลาดมีโมเมนตัมขึ้นชัดเจน)
– ถ้าหุ้นที่เราดูนั้นดีและมีโอกาสเป็นขาขึ้นจริง การเคลื่อนไหวที่แท้จริงของมันต้องใช้เวลาหลายเดือน อีกทั้งในตลาด sideway นั้น มักจะมีช่วงที่ตลาดและหุ้นปรับตัวลงแรงเป็นครั้งคราว ดังนั้น เตรียมตัวให้พร้อมและรอจังหวะเก็บหุ้นดีที่คัดเอาไว้ โดยเฉพาะเวลาที่ตลาด panic
– จัดวาง position size ให้เหมาะสม การถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไปมักไม่เป็นผลดี เพราะเราจะเกิดการ bias และกดดันอารมณ์มากเกินไปหากหุ้นไม่ขึ้นไปตามที่หวัง รวมถึงถ้าผิดทางก็จะเจ็บหนักครับ แต่ถ้าเรามีหุ้นน้อยเกินไป เวลากำไรก็จะไม่มีนัยยะต่อพอร์ตและไม่คุ้มค่าเหนื่อย ดังนั้น การประเมิน position size และบริหารเงินสดให้เหมาะสม ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญในตลาดแบบนี้ครับ
…
“Blog 40 : คำแนะนำหลังงบ Q3/2556”
www.sarut-homesite.net
13 พฤศจิกายน 2013