Super Stock มักจะเป็นบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่ง มีจุดเด่นที่ได้เปรียบบริษัทคู่แข่งอย่างยั่งยืน (Durable Competitive Advantage : DCA) ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มยอดขาย ผลกำไร และแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อยๆได้เกือบทุกปี และสามารถเติบโตต่อเนื่องได้หลายสิบปีอย่างสม่ำเสมอ
ใครเจอหุ้นแบบนี้ และสามารถซื้อได้ในราคายังไม่แพงเวอร์ (ข้อนี้สำคัญ) ก็สามารถถือไว้ได้นานเป็นสิบๆปีเลยครับ ตัวอย่างนักลงทุนแนวนี้ก็เช่น Buffett, Fisher, ดร.นิเวศน์ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ลงทุนในหุ้นที่ธุรกิจดี(มาก) ซื้อในราคาที่ยังไม่แพงมากเกินไป และถือครองไว้เป็นสิบๆปี
(คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดเต็ม รูปเก่าหน่อยนะครับ เพราะผมเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2011)
อย่างในรูปเราก็จะเห็นว่าทั้ง 2 บริษัท สามารถเพิ่มกำไรได้ เพราะมีจุดเด่นที่คู่แข่งไม่มี ลองยกตัวอย่างคร่าวๆก็อย่างเช่น
– HMPRO มีความครบวงจรและตอบโจทย์ครอบครัวสมัยใหม่ การบริการหลังการขายที่ดีมาก ทำให้ราคาขายที่แพงกว่าก็ไม่ใช่จุดอ่อนของ HMPRO ที่ทำให้คู่แข่งเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อคุณภาพและบริการที่ดีกว่า นอกจากนี้ระยะหลัง HMPRO ก็สามารถเพิ่มอัตรากำไรให้สูงขึ้นได้ จากการขายสินค้าที่ผลิตเองด้วย (House Brand)
– ในขณะที่ CPALL นอกจากจะขยายสาขามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็ยังสามารถทำให้ลูกค้าจ่ายเงินมากขึ้นเรื่อยๆในการเข้าร้านแต่ละครั้งด้วย และการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารมากขึ้น ก็ทำให้อัตรากำไรสูงขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะมี value added มากกว่าธุรกิจซื้อมาขายไปแบบธรรมดา
อย่างไรก็ตาม หุ้นพวกนี้เราต้องซื้อก่อนที่คนส่วนใหญ่จะเห็นว่ามันเป็น Super Stock เราถึงจะได้ผลตอบแทนแบบสุดยอด
คนที่เก็บ HMPRO , CPALL เมื่อ 5 – 7 ปีที่แล้ว ก็จะได้ผลตอบแทนที่สุดยอดจริงๆ
แต่ถ้าเราซื้อตอนมันแพงแล้ว ผลตอบแทนก็คงไม่สุดยอดเท่าไหร่นะครับ แต่ก็จะไม่แย่มาก เพราะถ้าบริษัทยังทำกำไรให้เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะตามไปได้เรื่อยๆครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้แบบ 1,000% ใน 10 – 15 ปี หรือที่เรียกว่าสิบเด้ง
ผมคิดว่าคงได้ที่ราวๆ 12 – 15% ต่อปี (รวมปันผล) อันนี้คือในกรณีที่เรามาซื้อตอนที่หุ้นมันแพงแล้ว และใครๆก็เห็นว่ามันคือ Super Stock
(ความเห็นส่วนตัวครับ)
Blog 22 : Super Stock
www.sarut-homesite.net
17 กรกฎาคม 2012