Blog 2 : ลงทุนอะไรดีเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดิน

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ 0.5%

อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน – 36 เดือน อยู่ที่ประมาณ 0.75 – 1.50%

เห็นอัตราเงินฝากแล้วอ่อนใจแทนคนที่ฝากเงินหรือคิดที่จะไปฝากเงินอยู่จริงๆ ดอกเบี้ยระดับนี้ฝากไปก็ได้ผลตอบแทนคืนมานิดเดียว ไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป 1 – 2 ปี

วันนี้เลยลองมารวบรวมทางเลือกการลงทุนให้แก่ผู้ที่มีเงินเย็นๆ แต่ไม่อยากไปฝากประจำเพราะดอกเบี้ยต่ำติดดินครับ แบ่งตามระดับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จากน้อยไปมาก

อันดับแรกที่จะแนะนำคือ

พันธบัตรรัฐบาล : ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนพอถูไถ

ผลตอบแทนช่วงนี้อยู่ที่ประมาณ 2 – 4% ตามระยะเวลาการถือ ตั้งแต่ 1 ปี – 10 ปี

ข้อเสียของพันธบัตรคือ ต้องถือรอจนครบกำหนดซึ่งกว่าจะได้ผลตอบแทนซึ่งก็เสียเวลานานเหมือนกัน

แต่เราก็สามารถที่จะนำพันธบัตรไปขายในตลาดตราสารหนี้ได้ทุกเวลา (แต่ก็จะไม่ใช่การถือกินดอกเบี้ยแบบที่ตั้งใจเอาไว้)

อันดับสองที่จะแนะนำคือ

กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้และพันธบัตร : ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนพอถูไถ

สภาพคล่องสูง ซื้อ – ขาย ได้ทุกวัน ผลตอบแทนของกองทุนพวกนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี

อันนี้ผมคิดว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการพักเงินไว้แทนการฝากเงินประจำ เพราะผลตอบแทนค่อนข้างโอเคเลย ความเสี่ยงก็ต่ำ

อันดับสามที่จะแนะนำคือ หุ้นกู้เอกชน ความเสี่ยงปานกลาง – ผลตอบแทนปานกลาง

ช่วงนี้มีหุ้นกู้ของบริษัทใหญ่ๆออกมามากเลย ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ใช้ได้เลยประมาณ 5 – 6 % ตามความเสี่ยงของบริษัทผู้ออก

ข้อเสียของหุ้นกู้คือ ต้องใช้วงเงินขั้นต่ำสูง ประมาณ 100,000 บาทขึ้นไป การจองหุ้นกู้ก็แย่งกันเยอะมาก บางบริษัทเปิดจองไม่ถึง ชม. ก็หมดซะแล้ว

เพราะฉะนั้นผมแนะนำว่าไปลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้จะสบายกว่า เพราะกองทุนพวกนี้ก็ลงทุนในหุ้นกู้พวกนี้เหมือนกัน เพียงแต่เขาจะผสมกับพันธบัตรด้วย ผลตอบแทนเลยน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกู้อย่างเดียว

อันดับสี่คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นและจ่ายปันผล : ความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนถือว่าสูง 6%+

ที่บอกว่าความเสี่ยงปานกลางเพราะช่วงนี้ ราคาหุ้นได้ตกลงมามากแล้ว ประมาณ 40 – 50% จากเมื่อต้นปีที่ 2551

ซึ่งกองทุนพวกนี้จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ปีละประมาณ 2 ครั้งขึ้นไป

อีกทั้งหากคิดว่าเป็นเงินเย็น ลงทุนได้เป็นปีๆ ก็จะได้ผลตอบแทนทั้งจากเงินปันผล และ ส่วนต่างราคาได้อีกด้วย (capital gain)

สมมติ NAV ของกองทุนตอนนี้ 5 บาท แต่อีก 2 ปี ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวราคาหุ้นก็จะฟื้นตาม NAV ของกองทุนก็ต้องปรับตัวขึ้นตามไปด้วย แต่อาจจะไปได้ไม่มากเพราะ ต้องหักเงินของกองทุนมาจ่ายปันผล ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นที่จ่ายปันผลจะอยู่ที่ประมาณ 6% (ในช่วงเวลาปกติไม่ใช่วิกฤต)

ส่วนถ้าจะลงทุนในกองทุนหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล ผมแนะนำให้ลงทุนเป็นหุ้นรายตัวจะดีกว่าครับถ้าอยากได้รับเงินปันผล

แต่ถ้าไม่เอาปันผลก็ได้ กองทุนหุ้นที่ไม่จ่ายปันผลถือผมคิดว่าน่าสนใจมากในช่วงนี้ เพราะราคา NAV ได้ตกลงมามาก บางกองทุนผมเห็นตกมาจาก 18 บาท ตอนนี้อยู่ที่ 8 บาท และผลตอบแทนในอนาคต (1 – 2 ปีขึ้นไป) ที่จะได้จากส่วนต่างราคา (capital gain) น่าจะได้เยอะกว่าปันผลแน่ๆครับ (10% +) แต่ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าครับ

อันดับ 5 คือ การลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล : ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง

ช่วงนี้บริษัทต่างๆก็ได้ประกาศจ่ายปันผลกันมาก เป็นฤดูปันผล

บางบริษัทที่ดีๆและมั่นคง จ่ายปันผลคิดเป็นผลตอบแทน ณ ราคาวันนี้สูงถึง 7 – 8% +

แน่นอนว่าความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นก็คือ หุ้นตก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวมากในการลงทุนหุ้น

แต่อย่างที่ได้บอกไปว่า ราคาหุ้นได้ตกลงมามากแล้ว ณ ช่วงนี้ และหากเป็นเงินเย็นจริงๆ สามารถลงทุนแทนเงินฝากประจำ 1 – 2 ปีได้

การลงทุนในหุ้นก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดเพราะอัตราผลตอบแทนจะได้ทั้งจาก เงินปันผล และ ส่วนต่างราคาได้อีกด้วย (capital gain)

แต่ต้องรับความเสี่ยงของการผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นให้ได้ เพราะหุ้นมีขึ้น มีลงทุกวัน พยายามอย่าไปติดตามราคารายวันมากเพราะจะส่งผลต่อทางจิตวิทยา

สิ่งที่ควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุนในหุ้นคือ ข้อมูลของบริษัทที่เราจะลงทุนว่า ประวัติเป็นอย่างไร มั่นคงแค่ไหน พยายามลงทุนในบริษัทที่ดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ข้อควรระวังคือ บริษัทที่จ่ายปันผลมากๆอัตรา 14 – 15% + ซึ่งบางทีอาจจะมีการจ่ายปันผลพิเศษเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งจะเป็นกับดักได้

ดังนั้นควรหาบริษัทที่ดี จ่ายปันผลตามปกติเรื่อยๆ ในอัตราผลตอบแทนที่พึงพอใจครับ

แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยาก ผมก็แนะนำให้ไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นครับ สะดวกกว่า

สุดท้ายเรื่องของการลงทุนก็ต้องปิดด้วยประโยคนี้ครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน