การเล่นหุ้นคือการเข้าใจความน่าจะเป็นของการเทรดแต่ละครั้ง ไม่ว่าเราจะใช้หลักการอะไรก็ตาม
เริ่มจากเอาข้อมูลที่มีมาประเมินความน่าจะเป็นว่า
“ในช่วงนั้น หุ้นตัวไหนน่าเล่น-กลุ่มไหนดูน่าสนใจกว่าตัวอื่นๆ”
สายพื้นฐาน จะประเมินจากแนวโน้มธุรกิจ-เศรษฐกิจ , ความถูกแพง (FW PE) , ความคาดหวัง และงบการเงิน
สายกราฟ ก็ดูจากราคาหุ้น วอลุ่ม , pattern , RS rank และอินดิเคเตอร์ต่างๆ
แต่ถ้าเราดูเฉพาะพื้นฐาน ก็ได้แค่มุมเดียว , ดูแต่กราฟ ก็ได้แค่มุมเดียว
เป็นความน่าจะเป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น
การเลือกดูอะไรเพียงด้านเดียว อาจจะทำให้เจอปัญหาหรือข้อผิดพลาดแบบเดิมอยู่บ่อยครั้ง
เช่น ถ้าดูแต่พื้นฐานไม่ลองศึกษากราฟ
– เราก็ไม่รู้ว่าแนวโน้มของหุ้น-ตลาดเป็นอย่างไร ตอนนี้ภาพรวมดีหรือไม่ดี?
ควรเริ่มปรับพอร์ต ถือหุ้นมากขึ้น-น้อยลงตอนไหนอย่างไรบ้าง
– เวลาเจอตลาดขาลงหรือหุ้นจบรอบใหญ่ มักจะเจ็บตัวหนักหรือกำไรหายหมด
– เงินลงทุนจมอยู่กับหุ้นที่ไม่ perform หรือจบรอบไปแล้ว ทำให้เสียเวลาและเสียโอกาส เพราะไม่มีเครื่องมือมาช่วยเรื่องจังหวะขายทำกำไร
ส่วนถ้าดูแต่กราฟ ไม่ยอมฝึกวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจเพิ่มเติม
– เราก็ไม่มีความรู้ว่า ธุรกิจของแต่ละบริษัทมีจุดเด่นที่น่าสนใจแตกต่างกันยังไงบ้าง
– พื้นฐานกลุ่มไหนกำลังดูดีน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ?
– ปัจจัยอะไรที่ดึงดูดเม็ดเงินของกองทุน-นักลงทุนรายใหญ่ และมีผลให้หุ้นแต่ละตัววิ่งขึ้นลงต่างกัน
– อะไรที่เป็นจุดตายหรือข้อควรระวังของธุรกิจนั้น? ฯลฯ
อย่าลืมว่าในระยะยาว พื้นฐานธุรกิจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาหุ้นแต่ละตัวขึ้นลงแตกต่างกันมาก
demand ของหุ้นที่มาจากสายพื้นฐาน (กองทุน , นักลงทุน) จะมีคุณภาพและยั่งยืนกว่า demand ที่มาจากสายกราฟล้วนอย่างเดียว (เทรดตามกราฟ , เล่นสั้นรายวัน , หุ้นคุณภาพต่ำ)
ถ้าเราเรียนรู้และเข้าใจทั้งสองฝั่งจริงๆ ก็จะเห็นว่ามันสามารถช่วยอุดจุดอ่อนของกันและกันได้
เช่น การที่สายกราฟมักจะเจอหุ้นสวยช้าเกินไป (เห็นหุ้นตอนสวยชัด สูงชัด แข็งชัด แต่เริ่มเล่นยาก หรือเหลือ upside ไม่มากแล้ว)
หรือสายพื้นฐานก็มักจะถือหุ้นดีเอาไว้นานเกินไป (หุ้นจบรอบใหญ่ – late stage , ราคาพีกไปแล้วก่อนงบ , หรือหุ้นขึ้นลงก่อนข่าว-ข้อมูลทางการเพราะมี inside)
เวลาคุยกับคนที่ดูแต่พื้นฐาน ผมมักจะบอกให้ลองเสริมกราฟไว้บ้าง
อย่างน้อยก็กราฟเส้นยาวๆ เช่น เส้น 50 , 200 เพราะมันเหมาะกับการถือหุ้นรอบใหญ่ และการดูภาวะตลาดมากที่สุด
ถ้ากราฟภาพใหญ่ยังไม่เสียก็ไม่ต้องกลัวอะไร แต่เมื่อภาพใหญ่เริ่มเสียก็ควรระมัดระวัง
ความรู้เรื่องกราฟจะช่วยเราในจังหวะสำคัญ หรือเวลาที่ตลาดเริ่มส่งสัญญาณอันตรายอย่างชัดเจน
และทำให้เราประเมินได้ว่า ราคาหุ้นตอนนี้มันเพิ่งเริ่มขาขึ้นรอบใหม่ / อยู่กลางๆทาง / หรืออาจจะจบรอบไปแล้ว
ส่วนถ้าคุยกับคนที่ดูแต่กราฟ ผมก็จะบอกให้ศึกษาพื้นฐานเพิ่มเติมบ้าง
เพราะแก่นจริงๆของตลาดหุ้นมันคือ การลงทุนในธุรกิจ
เม็ดเงินในตลาดจะวิ่งไปหา asset ที่คุ้มค่าน่าลงทุนในช่วงนั้นอยู่เสมอ
การอ่านพื้นฐานไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเน้น valuation หรือเจาะงบการเงินอย่างละเอียดเสมอไป
หลายครั้งการรู้เยอะเกินไปก็ไม่ดีหรือส่งผลเสียได้ แต่เราควรรู้ว่าตลาดสนใจและให้ความสำคัญกับปัจจัยอะไรบ้าง
แต่ข้อดีที่สำคัญของการอ่านพื้นฐานเป็น คือการเชื่อมโยงต่อจุดสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน
ประเมินได้ว่าเมื่อมีข่าวหรือเห็นงบออกมาแบบนี้ ที่ราคาหุ้น – FW PE ระดับนี้ จะสามารถคาดหวัง upside ได้อีกประมาณไหน
และช่วยให้เราคัดหุ้นที่น่าสนใจจริงๆได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตลาดยุคนี้ที่ช่วงงบออกจะเล่นกันเร็ว
พื้นฐานช่วยให้เราเลือกหุ้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย (ช่วงต้น-กลางเทรนด์)
กราฟช่วยให้อยู่กับหุ้นที่แนวโน้มเป็นขาขึ้น ไปจนถึงเตือนสัญญาณจบรอบ (ช่วงกลาง-ท้ายเทรนด์)
รวมถึงการตรวจสอบตลาดในจังหวะสำคัญ เช่น ช่วงทำ bottom process หรือช่วงใกล้จบขาขึ้นแต่ละครั้ง
การศึกษาความน่าจะเป็นจากทั้ง 2 ฝั่ง นอกจากจะได้ความรู้ติดตัวมากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย
การวิเคราะห์ของเราจะค่อนข้างครอบคลุม ส่งผลให้ความน่าจะเป็นดีกว่าค่าเฉลี่ยได้
เป็น edge ที่เกิดจากทั้งฝั่งพื้นฐานและฝั่งกราฟ
(selection + timing ดีขึ้น และ risk โดยรวมลดลง)
ยิ่งฝึกฝนก็จะยิ่งเห็นผลชัดเจนในระยะยาว
‘เลือกหุ้นได้ดี ในจังหวะที่ถูกต้อง’ เพราะการวิเคราะห์และศึกษาอย่างรอบด้านครับ
…
Blog 103 : ‘ความน่าจะเป็น’
10 มิถุนายน 2021