ผมลองสังเกตุดูคนส่วนใหญ่เวลาบอกคนอื่นๆว่าเล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เรามักจะพูดด้วยความภูมิใจ บอกเล่าด้านดีบอกว่าได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ ได้ครั้งละหลายหมื่น หลายแสน แต่มักไม่พูดถึงตอนขาดทุน ราวกับว่ามันเป็นของแสลงสำหรับชีวิต
.
คำพูดคำบอกเล่าแบบนี้มันหอมหวานชวนฝันสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มเข้ามาสู่สนาม กระตุ้นความโลภ ความหวัง ที่อยากจะรวยเร็ว อยากจะแหกคอกหนีจากชีวิตและงานประจำที่แสนจะลำบาก
.
แต่ด้วยความโลภนั้นเองที่ทำให้ต่อมความอดทนของนักลงทุนลดลง ความต้องการที่จะรวยเร็วได้เร็ว ทำให้นักลงทุนกลายร่างเป็นแมงเม่า หลงเข้าสู่วงจรการเล่นเก็งกำไรแบบไม่มีเหตุผล เช้าเปิดอ่านข่าว บทวิเคราะห์ เลือกหุ้นขนาดเล็ก ราคาถูก วิ่งเยอะๆ ช่วงสายก็ซื้อ บ่ายแก่ๆขาย ไม่ห่อกลับบ้าน เท่านี้ก็ได้กำไรสบายแฮแล้ว ไม่ยากเย็นอะไรเลย
.
ในช่วงตลาดขาขึ้นก็ได้กำไร วันไหนพลาดเจ็บตัว เศร้าไปแค่ครึ่งวันแล้วก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร ซื้อประสบการณ์ (แต่มันไม่เคยจำ) พอวันไหม่ก็เล่นแบบเดิมอีก หุ้นเจ๊งก็เปลี่ยนไปเล่น Future ไปเล่น DW โดยไม่ได้เข้าใจเลยว่า คนที่เล่นหุ้นเจ๊ง เล่นอะไรก็เจ๊งเพราะผู้เล่นไม่เข้าใจหลักการลงทุนและเทคนิคที่แท้จริง
.
ที่สำคัญ ยังเผื่อแพร่ความโลภด้วยการบอกต่อให้นักลงทุนหน้าใหม่หลุดเข้ามาสู่ตลาดหุ้น บนมุมมองที่สวยงามราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นบ่อเงินบ่อทอง มือใหม่ที่หลงเข้ามาด้วยความโลภและความอยากได้เงินแบบที่ไม่ต้องออกแรงทำงานหนัก จึงเริ่มซื้อหุ้น ซื้อหุ้นทุกราคาที่เริ่มมีการเชียร์ด้วยความเชื่อที่ว่าตลาดขาขึ้นไม่ต้องคิดมาก ซื้อยังไงก็ขายได้ ปากต่อปากทำให้ตอนนี้มีแต่คนพูดถึงหุ้น เรียกว่าแถบจะย้ายเงินจากธนาคารมาเก็บไว้พอร์ตการลงทุนเพื่อแสวงโชค ด้วยคำพูดที่สวยหรูล่อใจว่า “ให้เงินทำงาน”
.
แต่งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกลาฉันใด ตลาดหุ้นย่อมมีวันลงฉันนั้น แล้วเมื่อวันที่ตลาดติดลบเยอะ หน้าจอแดงฉาน รอยยิ้มและเสียงแห่งความปิติก็หายไป กลายเป็นเสียงบ่น โทษฟ้าโทษตัวเอง เสียดายในโชคชะตา บ้างขายหมู บ้างเข้าซื้อหุ้นแล้วหุ้นลง(ติดดอย) แต่หลายคนก็ยังฝืนทนเล่นต่อไปด้วยความหวังที่ว่าหุ้นของเราราคาจะทำ New high สูงขึ้นเรื่อยๆ บ้างกู้ได้ก็ดึงมาร์จิ้นมาซื้อถัว ยิ่งเล่นยิ่งเล่นยิ่งเครียด ยิ่งเล่นยิ่งกลัว เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ หุ้นวิ่งสามช่อง ขาย หุ้นลงห้าหกช่องซื้อกลับ
.
ผมนั่งดูพฤติกรรมของคนรอบตัว เลยอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเค้ามีความสุขในการเล่นหุ้นจริงไหม? หรือว่ายิ่งเล่นยิ่งทุกข์? มองดูตอนนี้รูปแบบการเล่นก็ไม่ต่างจากการลุ้นหวยหรือการพนันแต่อย่างใด
.
ผมเชื่อเสมอว่า ตลาดหุ้นเป็นเสมือนแหล่งสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนดีที่สุด แต่แน่นอนว่า ทุกอย่างมันต้องอยู่บนหลักของเหตุและผล หุ้นก็คือตัวแทนของธุรกิจ ไม่มีธุรกิจใดจะโตได้ 20-30 % ในไม่กี่วันโดยปราศจากการทำราคาของผู้ที่เก็งกำไร
.
เมื่อใดก็ตามหุ้นถูกชี้นำทั้งจากปากต่อปากหรือบทวิเคราะห์แสดงว่าเมื่อนั้น รายใหญ่มีหุ้นพร้อมจะปล่อยเพื่อทำกำไรแก่รายย่อยแล้ว เพียงแต่ล่อใจด้วยกำไรเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นความโลภให้วิ่งเข้ามา ถึงเวลาก็ทุบและจากไป
.
ถ้าลงทุนแล้วต้องมานั่งเสี่ยงทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน มันคงเป็นการลงทุนที่ยากจะยั่งยืนเพราะเมื่อวันนี้คุณได้ พรุ่งนี้คุณอาจจะเสียหมดตัวก็ได้เช่นกัน
.
ถ้าอยากอยู่รอดจากเกมส์ล่าส่วนต่างราคาในสนามแห่งนี้ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือการลงทุนติดปัญญาให้กับตัวเอง สร้างเครื่องมือหาปลาไว้จับปลา ไม่ใช่ขอปลาจากคนอื่นๆ เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าปลาที่ได้มามันจะเป็นปลาเน่า หรือปลาปนสารพิษหรือไม่
.
การลงทุนในการเพิ่มความรู้ให้กับตนเองนี้แหละครับคือ ก้าวแรกความสำเร็จ แต่การลงทุนทั้งในรูปแบบการซื้อหนังสือ การเข้าอบรม มันต้องมาพร้อมจิตใจที่จะนำพาและความพยายามที่จะประสบความสำเร็จด้วย เพราะถ้าซื้อหนังสือแล้วไม่อ่าน ไม่ทำความเข้าใจ ซื้อมาอวดเพื่อที่ทำงาน ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ อบรมมาแล้วก็ควรฝึกทบทวนเทคนิคและวิธีการให้เข้าฝัก ให้พร้อมกับการลงทุน ทำการบ้านให้มากราวกับว่าคุณกำลังจะศึกษาต่อในปริญาอีกใบ แต่ปริญญาใบนี้ถ้าสำเร็จจะเป็นปริญญาชีวิตที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้
.
หนทางสู่ความสำเร็จ มันไม่มีลิฟต์ให้ขึ้นไป เพราะมันมีแต่บันไดให้ก้าวเดินทีละขั้น หวังว่าท่ามกลางความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยในระดับ 1000 จุด, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, ปัจจัยลบจากสงครามค่าเงิน และความร้อนแรงของคาบสมุทรเกาหลีที่กำลังเกาเหลากันนั้น จะเล่นหุ้นหรือลงทุนกันอย่างมีสติและระมัดระวังตัวมากขึ้น เตรียมทางหนีทีไล่กรณีฉุกเฉินเอาไว้เสมอนะครับ
.
เมื่อแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
.
โดย chaipat
.
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
.