บิล คลินตัน ‘สร้างโลก-สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ไม่ใช่ทางเลือกแต่คือสิ่งต้องทำ’ : ประชาชาติธุรกิจ

ส่วนหนึ่งของงานลดโลกร้อนถวายพ่อ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา กระทรวงพลังงาน คือ การปาฐกถาภายใต้หัวข้อ “Embracing Our Common Humanity” โดยวิทยากรพิเศษผู้มีชื่อเสียงระดับโลก “บิล คลินตัน” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ปัจจุบันกระโดดเข้ามาทำงานด้านสิ่งแวดล้อมเต็มตัว ด้วยการตั้งมูลนิธิ William J. Clinton Foundation ที่มีคณะทำงานทั่วโลกให้ความช่วยเหลือทั้งการระดมทุน ระบบการจัดการและการเผยแพร่ความรู้เพื่อต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา

“คลินตัน” มาเยือนไทยเป็นครั้งที่ 6 เท้าความว่า มาเหยียบแผ่นดินไทยครั้งแรกเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสครองราชย์ครบ 50 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี 2539 หลังจากนั้นกลับมาอีกหลายครั้งเพื่อร่วมฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองและจิตใจของประชาชนหลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิซัดถล่มชายฝั่งอันดามัน  และครั้งสุดท้ายคือเมื่อธันวาคม 2549 เพื่อร่วมดูแลรักษาป่าชายเลนที่เสียหายจากคลื่นยักษ์

เขาได้ย้อนถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทย-สหรัฐ ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2339 ว่า ไทยนับเป็นมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยหวังว่าพันธมิตรของ 2 ประเทศจะต่อเนื่องยาวนานต่อไปและขยายขอบเขตจากการค้าการลงทุน การทหาร และการศึกษาไปยังด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

##

เปลี่ยนโลกด้วยการเปลี่ยนความคิด

ต่อคำถามที่หลายฝ่ายซึ่งคัดค้านการแก้ไขปัญหาโลกร้อนหยิบยกขึ้นมาว่า ทำไมจึงต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เหตุใดเรื่องนี้จึงสำคัญยิ่งยวดจนต้องมีตารางการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมและดำเนินการอย่างแน่วแน่ เขาให้คำตอบว่า เป็นเพราะวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นเรื่องแท้จริงและสามารถพิสูจน์ได้ แต่หลายองค์กรโดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีผลประโยชน์ก้อนโตยังไม่ยอมรับเรื่องนี้ ไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนจนนำไปสู่ความล้มเหลวในการประชุมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่โคเปนเฮเกนเมื่อปีกลาย

ดังนั้น ลำดับแรกของการรับมือปัญหาดังกล่าวคือ การรณรงค์ให้คนทั่วโลกตระหนักถึงความร้ายแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถูกต้อง ที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องสำคัญ กลับมองว่าเป็นตัวขัดขวางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบเก่า โดยทั่วโลกมีผู้คนเพียง 3% เท่านั้นที่ตระหนักถึงปัญหานี้ ขณะที่อีก 97% ไม่ใส่ใจ หรือกลัวว่าการแก้ไขปัญหาโลกร้อนจะส่งผลให้ต้องละทิ้งวิถีชีวิตอันสะดวกสบายเช่นปัจจุบัน จึงเลือกที่จะเพิกเฉย ไม่ยอมรับรู้ว่าปัญหาดังกล่าวมีอยู่จริง
.
แต่ข่าวดีคือ ขณะนี้ประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ เยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีแสงแดดมากนักกลับใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างกว้างขวาง ด้านจีนก็ทุ่มเทงบประมาณให้กับพลังงานทางเลือกชนิดนี้มากกว่าสหรัฐถึง 2 เท่า ขณะที่อินเดียก็กำลังมุ่งมั่นพัฒนาการใช้พลังงานลม
##
เศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อมโตคู่กันได้
.
คลินตันกล่าวว่า “ผมเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า โลกของเราสามารถสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนพร้อมกับตอบสนองต่อปัญหาสภาวะภูมิอากาศโลกไปพร้อมๆกันได้ เราไม่จำเป็นต้องเสียสละอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณสามารถพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานที่ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อมสำเร็จ ไม่เพียงจะสร้างงานได้มหาศาล เศรษฐกิจโลกก็จะเติบโตแบบก้าวกระโดด อีกทั้งยังนำมาซึ่งความร่วมมือในระดับนานาชาติด้วย”
.
เกี่ยวกับพิธีสารเกียวโตนั้น คลินตันระบุว่า ในบรรดาหลายสิบประเทศที่มีพันธสัญญาว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น มีเพียง 4 ชาติเท่านั้นที่จะปฏิบัติตามคำมั่นได้สำเร็จ เมื่อพิธีสารดังกล่าวสิ้นสุดลงในปี 2555 ได้แก่ เยอรมนี เดนมาร์ก สวีเดน และสหราชอาณาจักร ซึ่งล้วนประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผจญกับปัญหาการว่างงาน และจีดีพีหดตัว แม้การเมืองการปกครองหรือสภาพสังคมของประเทศเหล่านี้ก็แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ 4 ชาติดังกล่าวมีเหมือนกันคือ มุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงวิธีผลิตและบริโภคพลังงาน โดยเริ่มต้นตั้งแต่หน่วยเล็กของสังคมไปจนถึงระดับเมืองและระดับประเทศในที่สุด ดังนั้น ไม่มีข้ออ้างใดเลยที่สหรัฐหรือชาติอื่นจะยกขึ้นมาเป็น ข้อแก้ตัวว่า เหตุใดจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
.
นอกจาก 4 ประเทศข้างต้นแล้ว ท่านประธานาธิบดีคนที่ 42 ของสหรัฐยังชื่นชมรัฐอาบูดาบีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งให้คำมั่นว่า จะสร้าง carbon neutral city หรือเมืองที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ก่อนหน้านี้ถ้าใครบอกว่า ชาติที่ร่ำรวยด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างยูเออีจะสร้างเมืองที่เป็น carbon neutral ตัวเขาเองคงไม่เชื่อ แต่เพราะเดี๋ยวนี้การตระหนักถึงภาวะโลกร้อนมีมากขึ้น โครงการดังกล่าวจึงถือกำเนิดขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำและพลเมือง
.
เขาได้ยกตัวอย่างโครงการที่มูลนิธิของเขาดำเนินการเป็นผลสำเร็จในสหรัฐ ซึ่งคือการเปลี่ยนตึกเอมไพร์สเตท หนึ่งในตึกที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของมหานครนิวยอร์ก และครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก โครงการดังกล่าวเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องใช้ทุนสูงเพราะต้องติดตั้งระบบในตึกใหม่ทั้งหมด แต่การลงทุนครั้งนั้นก็ถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปีครึ่ง จากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ลดลง 38%
##
Win-Win Projects
.
อีกหนึ่งโครงการที่คลินตันให้ความสนใจได้แก่ การเปลี่ยนที่ดินไร้ค่าอย่างที่ทิ้งขยะให้เป็นแหล่งทำเงิน โดยอาศัยระบบการรีไซเคิลกับขยะประเภทพลาสติก แก้ว โลหะ กระดาษ และระบบการหมักกับขยะอินทรีย์เพื่อเปลี่ยนก๊าซมีเทนที่อันตรายต่อสภาพภูมิอากาศยิ่งกว่าก๊าซคาร์บอนให้เป็นแหล่งพลังงาน โครงการลักษณะนี้เป็นแบบได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย (win-win) กล่าวคือ ภาครัฐได้ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด ภาคประชาชนได้ลดพิษภัยจากของเหลือทิ้งซ้ำยังมีงานมีรายได้จากกการขายขยะหรือก๊าซชีวภาพ
.
นอกจากวิธีการข้างต้น เราสามารถใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าได้ โดยสร้าง solar park ซึ่งเป็นทั้งสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจและผลิตพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งไว้ในสวนได้ด้วย เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เพิ่มการจ้างงานตลอดจนแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม คลินตัน ออกตัวว่า เขาไม่ได้ต่อต้านการใช้พลังงานจากเซลล์ปรมาณู โดยในรัฐอาร์คันซอสมัยที่เขาเป็นผู้ว่าการรัฐนั้นก็มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2 แห่ง และนับตั้งแต่เปิดดำเนินการในปี 2507 เคยเกิดปัญหาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพียงแต่เห็นว่าขั้นตอนการกำจัดกากนิวเคลียร์ต้องอาศัยความระมัดระวังมากและมีค่าใช้จ่ายสูง หากนำเงินส่วนดังกล่าวมา สร้างโซลาร์ปาร์กจะสร้างงานได้มากกว่าและมลพิษก็น้อยกว่า
.
แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับการใช้ไบโอดีเซล แต่ได้กล่าวเตือนว่า ต้องใช้อย่างสมดุล แบ่งสัดส่วนระหว่างการนำไปเป็นอาหารกับการผลิตพลังงานอย่างพอเหมาะ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการแย่งชิงผลผลิตและทำให้ราคาพืชชนิดนั้นๆสูงเกินควร อีกทั้งต้องระวังไม่ให้เกิดการทำลายป่าเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยเฉพาะในเอเชียที่ภัยคุกคามนี้เริ่มขยายวงกว้าง มิเช่นนั้นแทนที่ไบโอดีเซลจะช่วยลดปัญหากลับยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงอีก
##
สินเชื่อสีเขียว
.
มีหลายคนที่ต้องการพัฒนาหรือสร้างสรรค์แนวทางใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ส่วนใหญ่มักติดขัดปัญหาทางการเงิน เช่นในกรณีของสหรัฐนั้น สถาบันการเงินไม่ค่อยเต็มใจปล่อยกู้ให้บริษัทพลังงานทางเลือกเพราะเห็นว่าในอนาคตราคาพลังงานที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมจะมีราคาลดลงเรื่อยๆ จนอาจทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถหาเงินมาชำระคืนได้ รัฐบาลชาติต่างๆจึงต้องสร้างระบบให้ความช่วยเหลือทางการเงินขึ้นมา เพื่อสนับสนุนให้โครงการเหล่านี้ตั้งไข่และก้าวต่อไปได้ ระบบดังกล่าวต้องออกแบบมาอย่างดีและรัดกุมแต่ก็ยืดหยุ่นเพื่อให้เดินหน้าด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะผันผวนหรือรุ่งโรจน์
.
เขาระบุด้วยว่า สหรัฐก็เช่นเดียวกับไทยที่ต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนมหาศาลไปกับการนำเข้าพลังงาน แต่โชคดีที่ทั้ง 2 ประเทศมีระบบสุขภาพที่พึ่งพาได้ ต่างกับเฮติที่ทุ่มเงินเพื่อซื้อพลังงานเป็นจำนวนมากจนไม่เหลือพอมาปรับปรุงระบบดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตมากมาย เพราะแม้จะรอดจากภัยธรรมชาติแต่หากขาดการดูแลรักษาที่มีคุณภาพก็ต้องสังเวยชีวิตไปในที่สุด ไม่ใช่เฮติประเทศเดียวที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูง แทบทุกชาติในแถบทะเลแคริบเบียนก็เป็นเช่นนี้ ทั้งที่ภูมิภาคนั้นสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมซึ่งมีอย่างเหลือเฟือได้
.
สำหรับไทยนั้นเขาแนะนำว่า ควรเร่งลดอุปสรรคทางเทคนิค อาทิ ตั้งสถานีชาร์จไฟสำหรับรถพลังไฟฟ้าเพิ่ม แก้ไขข้อกฎหมายที่ขัดขวางการใช้พลังงานทางเลือก รวมไปถึงออกกฎหมายที่สนับสนุนการประหยัดพลังงาน สร้างแรงจูงใจทั้งด้านภาษีหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ
##
สร้างโลกสร้างเศรษฐกิจ
.
คลินตัน อ้างรายงานการวิเคราะห์ของธนาคารดอยช์แบงก์ว่า กระบวนการป้องกันแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกจะช่วยสร้างงานให้เยอรมนีได้ถึง 3 แสนอัตรา ซึ่งหากนำมาปรับใช้กับจำนวนประชากรและพื้นที่ของสหรัฐจะสามารถลดการว่างงานได้มากถึง 3 ล้านคน แต่ขั้นแรกต้องเชื่อมั่นก่อนว่า ปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องจริง เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะสร้างเศรษฐกิจอยู่ดีกินดีให้กับประชาคมโลก แม้ผลกระทบของอุณภูมิโลกที่สูงขึ้นกว่าจะเห็นชัดแจ้งต้องใช้เวลาอีก 40-50 ปี แต่ถ้ารอถึงตอนนั้นทุกอย่างอาจสายเกินแก้ จึงต้องมุ่งมั่นลดการใช้พลังงานตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บางอย่างที่ลงมือทำได้ทันทีก็ไม่ควรรั้งรอ บางสิ่งเป็นเรื่องระยะยาวก็ต้องวางแผนงานอย่างรอบคอบ
.
โลกยุคนี้เป็นโลกแห่งความสงบและมั่งคั่ง เพราะโลกไม่มีพรมแดนอีกต่อไป เด็กสมัยนี้อยากรู้อะไรแค่เพียงเปิดอินเทอร์เน็ตข้อมูลก็จะหลั่งไหลออกมา ขณะที่สมัยก่อนต้องเข้ามหาวิทยาลัยจึงจะทราบ แต่ความมั่นคงของโลกยังคลอนแคลนเพราะมีประชากรอีกหลายล้านที่มีรายได้ต่ำกว่า 2 ดอลลาร์ต่อวัน การแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นทางออกทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ต้องแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าแนวทางนี้เป็นไปได้ เกิดขึ้นได้จริง แล้วจะมีคนเข้ามาให้ความร่วมมือมากขึ้น
.
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า “การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งคำถามว่า ควรทำหรือไม่ แต่ควรทำอย่างไร”
.
บิล คลินตัน ‘สร้างโลก-สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ไม่ใช่ทางเลือกแต่คือสิ่งต้องทำ’ : ประชาชาติธุรกิจ
.
18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
.
ปีที่ 34 ฉบับที่ 4263  ประชาชาติธุรกิจ
Author: admin

1 thought on “บิล คลินตัน ‘สร้างโลก-สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน ไม่ใช่ทางเลือกแต่คือสิ่งต้องทำ’ : ประชาชาติธุรกิจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.