การวิเคราะห์หุ้นรายตัวนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่า มีความสำคัญมากแค่ไหนในการลงทุน แต่ผมเชื่อว่า หลายๆคนที่ลงทุนมานานแล้วยังรู้สึกว่า ความสามารถในการลงทุนนั้นไม่ได้มีการพัฒนามากเท่าไหร่นัก เพราะอาจจะลืมวิเคราะห์ตัวเองไป
ในแต่ละปี ผมจะพยายามตรวจดูว่า ตัวเองมีความผิดพลาดในการลงทุนอย่างไรบ้าง เกิดจากอะไร และจะพยายามแก้ไขอย่างไร … ความผิดพลาดที่ผ่านๆมาของผมที่มักจะเกิดขึ้นจนทำให้ผลตอบแทนนั้นลดลงกว่าที่ควรจะเป็น มีคร่าวๆดังนี้
1. ตัดสินใจเร็วจนเกินไป … หลายๆครั้ง เมื่อผมเจอหุ้นบางตัวที่ดูแล้วน่าสนใจมากๆ ผมมักจะรีบซื้ออย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีคนมาไล่ซื้อก่อนทำให้ผมต้องซื้อหุ้นในราคาแพงขึ้น การตัดสินใจเร็วไปทำให้ผมขาดความรอบคอบ ไม่ได้ศึกษาตัวธุรกิจอย่างดีก่อนที่จะลงทุน
2. ลงทุนนอกกรอบความถนัดของตัวเอง .. ที่ผ่านมาผมมีหุ้นอยู่ 2 ประเภท ที่มักจะสร้างกำไรให้ผมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำได้แก่ หุ้นขนาดเล็กเติบโตเร็ว หรือหุ้นที่เป็นงานประมูล นักลงทุนแต่ละคนอาจจะมีความถนัดในหุ้นแต่ละประเภทแตกต่างกันไป การลงทุนในกรอบความถนัดของตัวเองนั้นจะทำให้โอกาสขาดทุนลดลง และโอกาสทำกำไรก็มากขึ้น มีหุ้นอยู่ประเภทหนึ่ง ที่ผมพยายามจะเข้าไปซื้ออยู่หลายรอบ คือหุ้นที่เรียกว่าเป็น Asset play (หุ้นที่มีสินทรัพย์หักด้วยหนี้สิน เยอะว่ามูลค่าหุ้นทั้งบริษัทอยู่มาก) ตลอดชีวิตการลงทุน ผมผ่านหุ้นประเภทนี้มา 3 ตัว ได้แก่ charan spsu brock
*ตัวแรก charan มีเงินสด+เงินลงทุนระยะสั้น-หนี้สินทั้งหมดประมาณ 70-80 บาทต่อหุ้น ในขณะที่หุ้นมีราคา 40 กว่าบาทเท่านั้น … ผมก็ซื้อไป ถือรอไป 2 ปี แล้วก็ขายหุ้นไปในราคาประมาณ 45 พอๆกับราคาที่ซื้อมา แม้จะไม่ได้ขาดทุนอะไร (ได้เงินปันผลมาปีละประมาณ 2-3 บาท) แต่ถ้าเอาเงินไปลงทุนในกลุ่มที่ถนัดผมจะได้ผลตอบแทนสูงกว่านี้มากๆ
*spsu เป็นบริษัทที่ทำการตลาดในกับรถซูซูกิ บริษัทมีบ.ร่วมเป็นโรงงานผลิตมอไซด์ซูซูกิ ซึ่งมีมูลค่าทางบัญชีสูงว่าเงินลงทุนที่บันทึกไว้มาก ผมลองเอาเงินสด + มูลค่าบริษัทร่วม – หนี้สินทั้งหมด ได้ประมาณ 12-14 บาทต่อหุ้น ตอนนั้นหุ้นราคาประมาณ 7 บาท… ผมซื้อไว้แล้วรอเวลา .. เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจของ spsu ก็แย่ลงเรื่อยๆ ส่วนแบ่งการตลาดถูกคู่แข่งทั้ง Honda และ Yamaha สุดท้ายผมก็ไปขายหุ้นราคาประมาณ 6 บาท เจ็บตัวอีกแล้ว
*brock อันนี้เพิ่งซื้อมาเมื่อต้นปีที่แล้ว… ผมมองมูลค่าที่ดินที่ภูเก็ตของบริษัทซึ่งมีอยู่สูงมาก จากการสอบถามคนรู้จักที่เชี่ยวชาญเรื่องที่ดินที่ภูเก็ตหลายท่าน ผมตีมูลค่าที่ดินของ brock (เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้น .. จริงๆบริษัทยังมีที่ดินที่อื่นอีกมาก) ได้ประมาณ 3-4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทนั้นมีเงินสดมากกว่าหนี้สินทั้งหมดของบริษัทซะอีก และบริษัทนั้นซื้อขายกันที่ราคาทั้งบริษัทประมาณ 1000 ล้านบาทเท่านั้นเอง … ผมก็ซื้อไว้ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้น… แล้วก็ถืออยู่เกือบปีแล้วก็ขายไปที่ประมาณ 1 บาทกว่าๆต่อหุ้นเช่นกัน
หุ้น Asset Play ไม่ได้มีอะไรผิดครับ มันไม่ใช่ว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่ดี หลายๆบริษัทที่เข้าข่าย Asset play ก็จัดว่าเป็นบริษัทที่ดีที่กำลังรอเวลาจะดีขึ้นมากๆในอนาคต เพียงแต่ผมไม่มีความสามารถพอที่จะคาดการณ์ได้ว่า เมื่อไหร่สินทรัพย์มหาศาลที่บริษัทเก็บไว้อยู่ จะแสดงมูลค่าของมันออกมาให้เห็นได้ชัดเจน เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น จนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้
3. หุ้นที่ผมขาดทุน ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ผมไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหาร เพราะการเพียงนั่งอ่านข้อมูลเพียงอย่างเดียว อาจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทได้พอสมควร แต่ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของผู้บริหาร หรือข้อมูลเชิงลึกหลายๆอย่างเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทนั้นจะหาได้ยากมาก ถ้าไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหาร ที่ผ่านมาผมก็ไม่ค่อยจะเข็ดเท่าไหร่ .. เพราะผิดข้อนี้ซ้ำๆอยู่หลายรอบ เนื่องจากหุ้นบางตัว เราหาโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารได้ยาก(จะมีก็เฉพาะงานประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น)
หลายครั้ง ผมอ่านข้อมูลหุ้นหรือข่าวบางชิ้นก็ทำให้อยากซื้อหุ้นทันที เพราะรู้สึกว่า กว่าจะรอให้ประชุมผู้ถือหุ้นก็คงไม่ทันการณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บตัวเพราะหุ้นพวกนี้เป็นประจำ… ตอนนี้ผมเลยพยายามตั้งกฏขึ้นมาให้ตัวเองว่า “การลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ (เช่นเกิน 10% ของเงินลงทุน) ผมจะต้องได้คุยกับผู้บริหารก่อนเสมอ”
ยิ่งเราพบจุดอ่อนตัวเอง และหาทางแก้ไขจุดอ่อนของเรามากเท่าไหร่ เราก็จะมีฝีมือในการลงทุนที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้น ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ….
การปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอนั้นสำคัญ ไม่เฉพาะเรื่องของการลงทุนเท่านั้นนะครับ ลองประยุกต์เอาไปใช้กับเรื่องนิสัยส่วนตัว การทำงาน หรือครอบครัว แล้วจะรู้ว่า ชีวิตคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา และเราก็พร้อมที่จะเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ ทั้งในแง่การเงินและการใช้ชีวิตครับ
สำรวจความผิดพลาดของตัวเอง
Yoyo’s Value Investing Way
สันติ สิงหวังชา
Friday, 31 October 2008
ผมเห็นด้วยครับ การลงทุนอะไรกับใครเราก็ต้องรู้จักพบปะและพูดคุยก่อน ไม่ใช่แค่อ่านผลประกอบการ และรอประชุม ผมว่ามันไม่เพียงพอ