ต่อไปนี้เป็นคำถามต่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในการให้สัมภาษณ์สถานี CNBC ในวันที่ 1 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา
ถาม : คำถามจากผู้ชมทางบ้านจากรัฐอิลลินอยส์ถามว่า ปกติคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่ในไตรมาส 3 ปี 2552 คุณซื้อหุ้นบริษัท เอ็กซอนโมบิล และขายหุ้นบริษัทนี้ไปในไตรมาสถัดมา อะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจได้เร็วขนาดนั้น
บัฟเฟตต์ : บางครั้ง เมื่อเราเริ่มซื้อหรือลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และเราไม่สามารถซื้อหุ้นบริษัทนั้นได้ตามจำนวนที่เราต้องการ รวมทั้งเราต้องการใช้เงินจำนวนมากในการเข้าซื้อบริษัทเบอร์ลิงตัน ทั้งบริษัท ทำให้เราต้องขายหุ้นออกไปบางส่วน โดยเฉพาะในหุ้นที่เราถือเป็นจำนวนไม่มากอย่างบริษัทเอ็กซอนโมบิล
ถาม : คุณอ่านรายงานประจำปีของบริษัทต่างๆ ปีละกี่เล่ม
บัฟเฟตต์ : อาจจะเป็นร้อยนะ ผมเพิ่งอ่านรายงานประจำปีของบริษัท เอไอจี (AIG) จบ ความหนาประมาณ 550 หน้า ผมอ่านรายงานประจำปีเยอะมาก
ถาม : คุณพูดเสมอว่า “ให้โลภเมื่อคนอื่นกลัว และให้กลัวเมื่อคนอื่นโลภ” ถามว่าคุณโลภหรือกลัวสำหรับสถานการณ์ตลาดหุ้นในตอนนี้
บัฟเฟตต์ : ปกติผมมักเริ่มต้นจากความกลัวก่อน เมื่อผมเห็นโอกาสในการลงทุนผมถึงเริ่มค่อยๆโลภ แต่อย่างไรก็ตามผมมักมองถึงผลลบ (Downside) ของการลงทุนนั้นก่อนเสมอ หมายความว่า ถ้าคุณไม่ขาดทุน คุณก็สามารถทำกำไรได้ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เราทำผลตอบแทนได้ดี สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมเรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม ตั้งแต่ผมอายุได้ราวๆ 20 ปี ในช่วงสิบปีแรกของการลงทุนเป็นช่วงที่ดีที่สุดของผม เพราะในช่วงนั้นเราไม่ขาดทุนเลยสักปีเดียว ตอนนี้ราคาหุ้นเบิร์กไชร์อาจลดลงถึง 50% และมันเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่เราเข้าเป็นเจ้าของบริษัท เราอาจขาดทุนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วเราไม่ขาดทุนอย่างถาวรแน่นอน ผมมองผลลบของการลงทุนก่อนเสมอ
ถาม : คุณคิดว่าในตลาดตอนนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่โลภหรือกลัว
บัฟเฟตต์ : ถ้าคุณลงทุน คุณควรลงทุนระยะยาว ในระยะยาวแล้ว ผมชอบที่จะถือหุ้นมากกว่าลงทุนในสินทรัพย์ราคาคงที่ (Fixed-dollar investment) หรือ เข้าๆออกๆตลาดหุ้น
ถาม : คุณคิดว่า ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ขายหุ้นแล้วซื้อคืน (Shorting) จะใช้กลยุทธ์เดิมไม่ได้ในอนาคต เมื่อกฎใหม่ของตลาดหลักทรัพย์สหรัฐออกมาเรื่องการกำหนดราคาช็อตหุ้นหรือไม่
บัฟเฟตต์ : การขายหุ้นแล้วซื้อคืน (Shorting) ไม่ใช่การลงทุน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำเงินจากวิธีการนี้ไม่ได้ ในฐานะนักลงทุน คุณควรมองการลงทุนบนความคิดที่ว่า ถ้าตลาดหุ้นปิดไปสักสองสามปี คุณยังมีความสุขอยู่ได้และพอใจกับผลประกอบการของธุรกิจที่คุณลงทุน
ถาม : คุณคิดว่าคุณเรียนรู้อะไรจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้
บัฟเฟตต์ : สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากวิกฤติครั้งนี้เหมือนกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก หนังสือ “นักลงทุนที่ชาญฉลาด” (The Intelligent Investor) ของเกรแฮม หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเมื่อปี 1949 ให้คุณอ่านบทที่ 8 ถึง 20 ที่บอกว่า เวลาลงทุนให้คุณซื้อหุ้นเหมือนซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ ถ้าคุณซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผลและถือมันไว้ คุณก็ไม่มีปัญหา ผมว่าถ้าเรามองหุ้นเหมือนสิ่งที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปมา และเมื่อคุณเริ่มใช้กราฟ นั่นแสดงว่าคุณเริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น ผมแนะนำให้ซื้อหุ้นในธุรกิจที่ดีราคาเหมาะสม ซื้อธุรกิจที่คุณเข้าใจและสามารถถือลืมไปได้หลายๆปี
ซื้อหุ้นต้องมอง Downside ก่อนกำไร
Value Way
วิบูลย์ พึงประเสริฐ