“แม้แต่นิ้วยังไม่อาจเหยียดตรงได้เท่ากัน แล้วความคิดจะตรงกันได้อย่างไร”
มนุษย์เราอยู่บนโลกทุกวันนี้ ด้วยความเชื่อมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนได้พบเห็น และนำมาประกอบกับความตรรกะของตน แล้วจึงระบุมันว่าคือ ความจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคนมีหนึ่งคนก็จะมีหนึ่งความจริง และหากมีเป็นล้านคนก็ย่อมมีล้านความจริงของแต่ละคนเช่นกัน…
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากความจริงของใครหลายคนจะขัดแย้งกันอย่างชัดเจน เพราะแม้กระทั่งเหรียญยังมองได้สองด้าน นับประสาอะไรกับการที่คนเราจะมองเรื่องเดียวกันในคนละมุมมอง
และเมื่อ ความจริง ของคนหลายคนมาขัดแย้งกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดความขัดแย้งและรุนแรงได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์ประเทศไทยปัจจุบัน ย่อมเป็นตัวอย่างที่ระบุได้อย่างชัดเจน ที่ประชาชนต่างฝ่ายต่างรับความจริงมาในหลากหลายรูปแบบ ต่างฝ่ายต่างคิดว่า ความจริง ที่ตนนั้นรู้มานั้น เป็นของแท้ จึงได้เกิดความขัดแย้งกัน มีปากเสียงกัน จนถึงขั้นวิวาทกัน เพื่อยืนยันความจริงที่ตนเองเป็นฝ่ายรับรู้
“ควาย” … “เลว” … “โง่” … “ดักดาน” ต่างเป็นคำที่ต่างฝ่ายต่างหยิบยกมาขว้างใส่กัน เพราะเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งไม่รับความจริงจากฝ่ายตน ไม่รับแนวทางแก้ปัญหาจากฝั่งของตน จนเมื่อทั้งสองฝ่ายเหนื่อยหน่ายกับการที่จะคุยกัน ก็หันหน้าออกจากกัน ไม่คุยกัน แต่ก็ยังไม่วายเสียดสีกัน สาดเสียเทเสียใส่กัน
และเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ หรือพ่ายแพ้ ฝ่ายตรงข้ามก็จะออกมาประณามความผิดอย่างชนิดไม่เกรงใจผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย เพราะจะมองว่าอีกฝ่ายกระทำผิด จนไม่อาจเถียงอะไรได้ เพียงเพราะคิดว่า การตอกย้ำเช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายยอมศิโรราบ ยอมฟังความจริงจากฝ่ายของเราอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้น เพราะ ความจริง ของแต่ละฝั่งมันไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ได้พบเห็นเท่านั้น ความจริงยังมีองค์ประกอบคือความยึดมั่นถือมั่น
และเมื่อใดก็ตามที่เราไปทำลายความยึดมั่นถือมั่น อันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ใครคนนั้นจะฟังความจริงของเราอย่างเต็มใจ
การที่เราเปิดใจรับฟังความจริงที่อีกฝั่งหนึ่งพบเห็นต่างหากที่เป็นสิ่งที่จะนำพามาสู่ความเข้าใจ เมื่อต่างฝ่ายต่างได้แบ่งปันความจริง แล้วหาข้อสรุปที่ตรงกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความจริง ของแต่ละคนจะถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว…
และความขัดแย้งก็ย่อมเปลี่ยนเป็นความปรองดองในที่สุด
แต่ความยากลำบากของการเปิดใจอยู่ที่ “จิตใจ” ของคนทุกๆคน
เพราะตราบใดที่ต่างคนต่างยังไม่อาจเอาชนะจิตใจของตัวเองที่มุ่งหมายต่างๆกันที่มีทั้งเอาชัยชนะอีกฝ่าย กอบโกยทรัพย์สิน หรือมุ่งหาผลประโยชน์ได้ ความปรองดองจะย่อมไม่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น การเปิดใจที่จะนำไปสู่”สันติภาพ”ที่แท้จริงนั้น ย่อมต้องเกิดจากคนทุกคน มิใช่คนเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเพียงกลุ่มเดียว
ทั้งนี้ การเริ่มต้น ไม่ใช่การยากแต่อย่างใด แค่เริ่มจากกลุ่มคนสนิทและกระจายออกไปอย่างมั่นคง ยิ่งในสถานการณ์ของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ยิ่งเอื้ออำนวยให้คนไทยหันหน้าเข้ากัน มีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ยุคแห่งความเข้าใจกันอย่างถ้วนหน้า และเมื่อทุกคนมุ่งมั่นและตั้งใจจนสามารถเอาชนะจิตใจของตัวเองได้ ทิฐิของแต่ละคนก็จะหมดลง ความเข้าใจย่อมเกิดขึ้น ความปรองดองย่อมผลิบาน สันติภาพย่อมบังเกิด …
“ สันติภาพ” ย่อมไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว
Our Columnist @ www.sarut-homesite.net
กริชชาติ ว่องไวลิขิต
22 พฤษภาคม 2553
คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นถูกต้อง เป็น”คุณธรรม”
เพราะคนๆนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป้นไปตาม”คุณธรรม”ที่ตนเชื่อ
คมจริงๆ
น่าสนใจมาก และเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดี ว่าสันติภาพต้องเกิดจากความร่วมมือกันจากคนเป็นจำนวนมาก แต่บางครั้งก็ถูกทำลายลงไปได้ แค่เพียง “คนๆเดียว”