ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ผมเห็นในช่วงปี 1998-2002 เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากกลุ่มคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอ
ผมจำได้ครั้งหนึ่งว่ามี ดร. จบปริญญาเอก และมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงบอกผมว่า เขาซื้อหุ้น Cisco Systems ซึ่งเป็นหนึ่งในสุดยอดหุ้นของยุค 90s
ตอนที่มันร่วงลงมาแถวๆ 50 เหรียญ เพราะว่ามันเป็นบริษัทชั้นนำคุณภาพเยี่ยม
ผมได้แต่หวังว่าเค้าจะยอมละทิ้งความภาคภูมิใจในความคิดของตัวเอง และขายหุ้นทิ้งไปซะ
ก่อนที่หุ้นของบริษัทชั้นนำแห่งนี้จะร่วงต่อจนเหลือแค่ 8 เหรียญ
หรือแม้แต่นักลงทุนมืออาชีพก็หนีไม่พ้นการทำผิดพลาด เช่นเดียวกับที่มือสมัครเล่นทำ
ผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ซื้อหุ้น WorldCom ที่ราคา 1.5 เหรียญ
เขามั่นใจมากว่ามันไม่น่าจะลงไปถูกกว่านี้แล้ว (หลังจากที่หุ้นร่วงลงมาจาก 64 เหรียญ)
แต่อันที่จริง ราคาหุ้นสามารถร่วงลงไปได้เรื่อยๆ และมันก็ลงต่อจริงๆ ครั้งล่าสุดที่ผมตรวจดู หุ้นเทรดอยู่ที่ 17 เซนต์ (0.17 เหรียญ)
คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือที่ปรึกษาการลงทุน ต่างก็ต้องพบกับความเจ็บปวดจากตลาดขาลงช่วงปี 2000-2002
มันเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้กฏและหลักการลงทุนที่เหมาะสมกับตลาดหุ้น
เนื่องจากในช่วงขาขึ้นสิบปีก่อนหน้านั้น (ปี 1990-1999) พวกเขาคิดว่าได้ค้นพบวิธีทำเงินจากหุ้น โดยที่ไม่ต้องลงมือลงแรงอะไรมากนัก
แค่ซื้อหุ้นที่มีคนแนะนำ-อยู่ในกระแส , หุ้นที่มีคนเชียร์เยอะๆ , หุ้นที่มีสตอรี่หรือเรื่องราวน่าสนใจ แค่นี้ก็ทำกำไรได้แล้ว
พวกเขาไม่เข้าใจความเป็นจริงเรื่องของความเสี่ยงในตลาดหุ้น
ไม่มีวิธีปกป้องตัวเองจากการสูญเสียครั้งใหญ่
ไม่มีวิธีตรวจสอบภาวะตลาดที่จะช่วยบอกได้ว่า ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นหรือเริ่มกลับตัวเป็นขาลง
และที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่มีกฎสำหรับการขายหุ้นเลย!
นี่มันอะไรกัน? การที่ชีวิตดูดีและทุกอย่างดูง่ายมากซะจนทำให้เราขาดความระมัดระวัง และเริ่มประมาทเกินไป
แม้แต่ผู้บริหารบางบริษัทก็ยังคิดว่ามันไม่เสียหายที่จะโกหก , หลอกหลวง , และพูดโอ้อวดเกินจริง
เพราะทั้งหมดที่กล่าวมานั้น คนในระดับผู้นำประเทศก็ทำเช่นกัน และก็ไม่เห็นว่ามันจะทำให้พวกเขาเสียหายตรงไหนเลย
มีความเชื่ออย่างหนึ่งในตลาดหุ้น นั่นคือ สิ่งที่คุณต้องทำมีแค่การช้อนซื้อหุ้นเทคฯทุกครั้งที่มันร่วงลงมา
เพราะว่าพวกมันจะเด้งกลับแล้ววิ่งขึ้นใหม่อยู่เสมอ
ความคิดเห็นที่ไร้เดียงสาเหล่านี้มีอยู่มากมาย เช่นเดียวกับเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ที่คอยให้คำแนะนำของพวกเขาทางหน้าจอทีวีอยู่ตลอดทั้งวัน
และความเห็นพวกนั้นก็ดูจะมีทฤษฎีที่สมเหตุสมผลมารองรับอยู่เสมอ
ปัญหามีแค่ว่าพวกมันใช้การอะไรไม่ได้เลย
สำหรับหลายๆคน การเข้ามาเล่นในตลาดหุ้นนั้นให้ความรู้สึกเหมือนการไปเล่นกีฬา หรือแค่หาอะไรทำฆ่าเวลาโดยที่มีคนเกือบทั้งประเทศเข้ามาร่วมเล่นด้วย
ตอนที่ผมไปออกกำลังที่ยิม ผมจำได้ว่ามีชายคู่หนึ่งกำลังดูถูกดูแคลนหุ้น Yahoo อยู่
ตอนที่หุ้นเพิ่งอยู่ในระยะแรกของการพุ่งขึ้นไปอีก 100 เท่าตัว
แต่พออีก 2 ปีต่อมา ผมเริ่มได้ยินชายสองคนคุยกันอย่างมั่นอกมั่นใจมากว่า สิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ได้กำไรก้อนโตคือ
‘ซื้อหุ้น Yahoo ทุกครั้งที่หุ้นปรับฐานหรือย่อตัวลงมา’
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพลาดหุ้น Yahoo ตลอดทางที่มันวิ่งขึ้นไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 90s
และตอนนี้เมื่อหุ้นเริ่มดูชัดเจนสำหรับคนที่โรงยิมและผู้คนทั่วไป ราคาหุ้นก็จบรอบแล้วเริ่มถล่มลงมา
จากราคา 250 เหรียญ ในเดือนมกราคม ปี 2000 ลงมาเหลือแค่ 8 เหรียญ ในเดือนกันยายน ปี 2001
และกลุ่มคนที่โรงยิมก็แทบไม่คุยเรื่องหุ้นกันอีกเลย
นักลงทุนส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้เรียนรู้ความจริงพื้นฐานของตลาดด้วยความเจ็บปวดว่า
; ความคิดเห็น , ความรู้สึก , ความหวัง , และความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับตลาดหุ้นนั้นมักจะผิด
และบ่อยครั้งที่มันมีอันตรายแฝงอยู่
ในทางกลับกัน ข้อเท็จจริง, แนวโน้มของ price-volume, และตลาดหุ้นนั้นมักจะไม่ผิดพลาด
กฏพื้นฐานของ demand/supply ใช้การได้ดีกว่าความเห็นของนักวิเคราะห์ทั้งหลายในวอลล์สตรีท หรือความเห็นของใครก็ตาม…
– William O’Neil –
*ตัวอย่างบทนำจากหนังสือ The Successful Investor ภาษาไทย