สำหรับคนที่สนใจศึกษาเรื่องราวของ Hedge Fund – Trader ระดับตำนานของโลก , การเทรดแบบ Macro Trading ที่เทรดสินทรัพย์ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตร ค่าเงิน และคอมโมดิตี้ รวมถึงอยากศึกษาประวัติศาสตร์และวิกฤตรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นในตลาดการเงิน-ตลาดหุ้น เล่มนี้ไม่ควรพลาดครับ
หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนงานวิจัยที่ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลของเหตุการณ์ต่างๆไว้อย่างละเอียดมาก โดยจะเป็นการบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานั้น เหมือนพาเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยทีเดียว
โดยหนังสือจะเริ่มตั้งแต่ยุคของการก่อตั้ง Hedge Fund ครั้งแรกในปี 1949 เรื่อยมาจนถึงวิกฤตปี 2008 เรียกได้ว่ามี case study ให้ศึกษากันเยอะมากๆ และก็ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการของตลาดเก็งกำไรในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 60 ปี (มีบทนึงเกี่ยวกับเหตุการณ์ค่าเงินบาทของไทยเมื่อปี 2539-2540 ด้วยครับ)
เนื้อหาในแต่ละบทคร่าวๆก็จะมีตั้งแต่ ประวัติความเป็นมาช่วงเริ่มก่อตั้งกองทุน , กลยุทธ์ที่ใช้ทำกำไรอิงกับเหตุการณ์ในช่วงนั้น , ความผิดพลาดครั้งสำคัญที่ทำให้กองทุนขาดทุนอย่างหนัก , ผลกระทบของนโยบายการเงินที่ทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินปั่นป่วน ฯลฯ
โดยผู้เขียนเรียบเรียงข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่เชื่อถือได้ ทั้งสถิติการเทรดของกองทุนเอง, หนังสือ-ข่าว-บทความต่างๆ, รวมถึงการสัมภาษน์บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนับร้อยคน ทำให้เราได้รู้ว่าในช่วงเวลาสำคัญนั้น Hedge Fund พวกนี้เค้ามีมุมมองและเทรดกันอย่างไร (อย่างละเอียด)
การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนได้เปิดหูเปิดตาพอสมควร เพราะได้รู้ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลัง Hedge Fund ขนาดใหญ่ ว่ามีมุมมองและข้อได้เปรียบคนอื่นตรงไหนบ้าง ถึงสามารถทำกำไรได้โดดเด่นเหนือตลาดมาอย่างยาวนาน (และยากที่จะเลียนแบบ)
นอกจากจะได้เรียนรู้แนวคิดของ Hedge Fund พวกนี้แล้ว สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ การได้รู้มุมมองและการแก้ปัญหาของสถาบันการเงินต่างๆในอดีต ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติของแต่ละประเทศ , IMF , FED ที่มีการใช้นโยบายเพื่อแก้ปัญหาหรือบางครั้งก็กลายเป็นการบิดเบือนตลาดจนนำไปสู่วิกฤตที่รุนแรงกว่าเดิม
มีหลายครั้งที่ผู้นำประเทศและผู้กำหนดนโยบายการเงินพยายามฝืนกลไลตลาดและไม่ยอมรับความจริง เช่น การฝืนไม่ให้ค่าเงินอ่อนค่าทั้งๆที่ดุลการค้าและเศรษฐกิจของประเทศอ่อนแอ , การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในจังหวะที่ผิดพลาดทำให้ส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาดไว้
สิ่งที่น่ากลัวจึงอาจไม่ใช่แค่การเข้ามาเก็งกำไรของ Hedge Fund ขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดและการฝืนกลไกตลาด เมื่อฝืนไม่ไหวก็ส่งผลทำให้วิกฤตยิ่งรุนแรงกว่าเดิม แถมคนที่กำหนดนโยบายเวลาผิดพลาดก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก คนที่โดนผลกระทบมักจะเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปแทบทุกครั้ง
(เป็นเหตุผลนึงที่ผมจบเศรษฐศาสตร์มาแต่ก็ไมได้ศรัทธาวิชานี้เท่าไรนัก ยิ่งเมื่อวิเคราะห์ดูตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็จะยิ่งเห็นว่าตำราทฤษฏีที่เรียนมานั้นใช้ไม่ค่อยได้กับความเป็นจริง โดยเฉพาะการคาดการณ์(เดา)อนาคตของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย ที่หาความแม่นยำได้น้อยมาก)
ถึงแม้ว่าการเทรดของกองทุนขนาดใหญ่แบบนี้จะอยู่ในคนละระดับกับรายย่อยอย่างเรา เพราะเขาเทรดกันหลักพันล้านเหรียญในตลาดโลก แต่ก็ยังมีมุมมองแนวคิดหลายอย่างที่เราเอามาประยุต์ใช้กับการเล่นหุ้นของเราได้พอสมควรครับ
ดังนั้น ถ้าเป็นคนที่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องของการเก็งกำไร กรณีศึกษาเรื่องฟองสบู่และการล่มสลายในตลาดหุ้น รับรองว่าอ่านสนุกแถมได้ความรู้แน่นอน
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่น่าสนใจ โดยในหนังสือจะเล่าเรื่องอิงไปกับกองทุนที่มีบทบาทในช่วงนั้น ว่าเค้าคิดและเทรดกันอย่างไร ซึ่งก็จะมีทั้งคนที่กำไรและขาดทุนครับ
– Black Monday 1987 บทนี้ผมชอบมุมมองของ Paul Tudor Jone มาก เป็นคนที่ได้กำไรเยอะในช่วงนั้น (เหตุการณ์นี้ Soros เจ็บตัวหนัก ขายหมูตอนตลาด Bottom)
– การ Short ค่าเงินปอนด์ และค่าเงินบาทของเหล่า Hedge Fund นำโดย Soros Fund Management ที่ช่วงนั้นบริหารโดย George Soros และ Stan Druckenmiller
– ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของ Long-Term Capital Management กองทุนที่รวบรวมคนระดับหัวกะทิมาร่วมกันเทรด
– Dot-Com Bubble ผู้แพ้และผู้ชนะหลังฟองสบู่แตก
– หลังวิกฤตปี 2000 Hedge Fund เริ่มกลับมารุ่งเรือง นำโดยนักคณิตศาสตร์ Jim Simons และ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ David E. Shaw (กองทุนเทพของสาย System)
– วิกฤตปี 2007-2008 ; Hedge Fund เอาชนะตลาดได้อย่างไร
link หนังสือ : http://www.amazon.com/More-Money-Than-God-Relations/dp/0143119419
…
Blog 62 : ‘More Money than God’ – ประวัติศาสตร์การเก็งกำไรและตำนานของ Hedge Fund
www.sarut-homesite.net
1 กุมภาพันธ์ 2016
🙂
😀