เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลัง กระทิงแดง ซึ่งถือหุ้น 49% ของบริษัท ปัจจุบันมีบุตร 5 คน โดยในปี พ.ศ. 2551 ได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นเศรษฐีอันดับ 260 ของโลก และอันดับ 1 ของไทย (รองลงมาคือนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง) ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์ของนายเฉลียวมีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์ โดยรวมมูลค่าของหุ้นส่วน อุตสาหกรรมยา (T.C. Pharmaceuticals) และหุ้นส่วนโรงพยาบาล
“เฉลียว อยู่วิทยา” มีชื่อจีนว่า “โกเหลียว” มีเชื้อสายจีนไหหลำ ปู่มาจากเมืองจีน ย่าเป็นคนไทย เป็นคนจังหวัดพิจิตรโดยกำเนิด เกิดในครอบครัวยากจน มีอาชีพเลี้ยงเป็ด และค้าขายผลไม้ จากนั้นเข้ามาในกรุงเทพฯ ช่วยพี่ชายทำงานร้านขายยา เป็นเซลส์แมนขายยา “ออริโอมัยซิน” ของบริษัทเอฟ.อี.ซิลลิคฯ จากนั้นได้ลาออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาจำหน่ายเอง และต่อมาตั้งโรงงานผสมยาอยู่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน จากนั้นตั้งบริษัท ทีซีมัยซิน ในช่วงแรก ผลิตแป้ง”แทตทู” ยาเด็ก “เบบี้ดอล” ก่อนจะมาถึงเครื่องดื่ม”กระทิงแดง” ด้วยการทำตลาดแบบถึงลูกถึงคน ทำให้กระทิงแดงตีตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาด
ในปี พ.ศ. 2527 นายเฉลียวได้ขยายธุรกิจกระทิงแดงไปต่างประเทศ โดยลงทุนร่วมกับนาย ดีทริช เมเทสซิทซ์ (Dietrich Mateschitz) นักธุรกิจชาวออสเตรีย ก่อตั้งบริษัท Red Bull GmbH. ในประเทศออสเตรีย ผลิตและวางจำหน่ายกระทิงแดงในยุโรป ภายใต้ยี่ห้อ เรดบูล และส่งไปขายในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
ลำดับเศรษฐีของนายเฉลียว
เศรษฐีของโลกอันดับ 260 ในปี พ.ศ. 2551
เศรษฐีของประเทศไทยอันดับ 1 ในปี พ.ศ. 2551
เศรษฐีของโลกอันดับ 279 ในปี พ.ศ. 2550
เศรษฐีของประเทศไทยอันดับ 2 ในปี พ.ศ. 2550
เศรษฐีของโลกอันดับ 292 ในปี พ.ศ. 2548
เศรษฐีของประเทศไทยอันดับ 2 ในปี พ.ศ. 2548
เศรษฐีของโลกอันดับ 356 ในปี พ.ศ. 2547
เศรษฐีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันดับ 12 ในปี พ.ศ. 2547
เศรษฐีของโลกอันดับ 386 ในปี พ.ศ. 2546
####
“เฉลียว อยู่วิทยา”
มองบุคคลโลก โดย วิกรม กรมดิษฐ์
ผมพบกับคุณเฉลียวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 ตอนนั้นเราร่วมเดินทางไปประเทศจีนกับคณะของอดีตนายกชวน หลีกภัย ถ้าจำไม่ผิดผมคิดว่าเป็นครั้งแรกที่คุณเฉลียวกำลังเริ่มต้นบุกตลาดในจีนอย่างจริงจัง ครั้งนั้นผมมีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนทัศนคติต่างๆ กับคุณเฉลียวในขณะที่อยู่คุนหมิงและครั้งสุดท้ายเมื่อปีที่แล้ว เรื่องจะมาสร้างโรงงานในนิคมอมตะ สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวดีคือ เขาเป็นคนสุภาพ ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจดี และมีท่าทางสมถะ ทุกครั้งที่ผมได้พูดคุยกับเขา ผมคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่พูดจามีสาระ มีวิสัยทัศน์ยาวไกลและแม่นยำ ให้เกียรติคู่สนทนา ถึงแม้ว่าแต่ละครั้งที่เราคุยกันนั้นเป็นเวลาไม่นานนัก แต่ก็ถือว่าได้เนื้อหาและสาระมากมาย ทำให้เห็นว่าคุณเฉลียวเป็นคนที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูง และถึงแม้ตอนที่ผมคุยกับเขานั้นเขาจะมีอายุมากแล้ว แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ยังกระปรี้กระเปร่าและมีไฟของคนทำงานเหมือนกับหนุ่มๆ ไม่มีผิดเพี้ยน ผมไม่แปลกใจว่าทำไมธุรกิจของเขาจึงโด่งดังและประสบความสำเร็จไปทั่วโลก ผมมองว่าในอนาคตของธุรกิจที่คุณเฉลียวได้ก่อตั้งมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และก้าวที่เดินไปข้างหน้าผมเชื่อว่ามุมองศาของการเติบโตของธุรกิจจะเป็นกราฟที่พุ่งขึ้นไปค่อนข้างสูง เพราะธุรกิจกระทิงแดงในตอนนี้เติบโตและขยายตัวอย่างก้าวกระโดดแตกต่างจากในอดีตเป็นอย่างมาก อีกไม่นานคุณเฉลียวคงก้าวขึ้นมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน
หากมองย้อนไปถึงภูมิหลังของคุณเฉลียว เราจะยิ่งแปลกใจว่าจุดเริ่มต้นของชีวิตและครอบครัวของเขานั้น เริ่มต้นจากศูนย์จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนก่อเกิดมาจากลำแข้งและหยดเหงื่อแรงกายของเขาทั้งสิ้น ความวิริยะอุตส่าห์เป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยสร้างโอกาสให้เขาสามารถยืนหยัดบนลำแข้งของตัวเองได้ แต่ถ้าหากมามองถึงธุรกิจที่คุณเฉลียวกำลังทำอยู่นั้น จะถือได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจที่หาได้ยากในหมู่คนไทย จากการที่จะต้องเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ และเริ่มมาจากการที่ไม่รู้จักใครเลยโดยเฉพาะในกรุงเทพ เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างมันว่างเปล่าไปเสียหมด แต่ด้วยสติปัญญา ความมุ่งมั่น และความอดทนของเขานั่นเองที่เป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้ชีวิตของเขาประสบกับความสำเร็จ เพราะรูปแบบของการบริหารงาน บุคลากร การเงิน การตลาด ล้วนแล้วแต่แตกต่างไปจากคู่แข่ง บวกกับผลประกอบการที่ผ่านมาซึ่งสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลนั้น ทำให้ผมเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นานนัก เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง น่าจะเป็นอันดับ 1 ของโลกประเภทเครื่องดื่มชูกำลังได้ไม่ยากนัก
เมื่อสงกรานต์ปีที่แล้วผมเดินทางไปทิเบต เมืองลาซา โดยนั่งเครื่องบินลงที่เสฉวนแล้วค่อยเดินทางต่อด้วยรถยนต์ 4 WD ไปตามระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร ระหว่างทางที่ผมแวะทานอาหารข้างทาง แม่ค้าจะเอาถาดเครื่องดื่มมาให้ผมเลือก ทุกครั้งผมพบเครื่องดื่มบำรุงกำลังกระป๋องสีทอง “กระทิงแดง” อยู่เสมอไม่ว่าเส้นทางที่ไปจะทุรกันดารแค่ไหน จนผมอดสงสัยไม่ได้จึงถามไกด์ว่ารู้จักเครื่องดื่มยี่ห้อนี้มานานหรือยัง คำตอบที่ผมได้รับนั้นสร้างความประหลาดใจให้ผมมาก เพราะเขาบอกกับผมว่า กระทิงแดงนี่แหละ ที่เป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่เป็นเสมือนของติดกายที่ขาดไม่ได้ของพนักงานขับรถและผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในจีน นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังแล้ว กระทิงแดงยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นว่ากระทิงแดงเป็นเหมือนโซดา เพราะสามารถนำไปผสมกับวิสกี้หรือผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ทำให้การหาซื้อกระทิงแดงนั้นสะดวกขึ้น จนร้านอาหารเกือบทุกแห่งในประเทศจีนที่มีประชากรกว่าพันล้านคน มีกระทิงแดงขาย ด้วยระยะเวลาเพียง 10 ปีเศษเท่านั้นที่คุณเฉลียวเริ่มบุกตลาดจีนอย่างจริงจัง แค่นี้ก็คงพอมองเห็นถึงแสงสว่างอันสดใสของไฟแห่งความสำเร็จของกระทิงแดง
กระทิงแดงเกิดขึ้นและออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2522 แต่การเติบโตของกระทิงแดงนั้นเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี ไปทุกแห่งทั่วทุกมุมโลก กระทรวงอาหารและยาของทุกประเทศในโลกในยอมรับและยินยอมให้เครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อนี้เข้าไปจำหน่ายในประเทศได้ ซึ่งถือเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้กระทิงแดงสามารถขยายและเติบโตได้อย่างไร้ขอบเขตและไร้ซึ่งเวลา เพราะกระทิงสามารถดื่มได้ตลอดเวลาโดยไม่จำกัดเพศและวัย(แม้ว่าจะมีคำเตือนอยู่ข้างขวดก็ตาม) ตามปกติแล้ว ผมเชื่อว่าทุกองค์กรหากจะต้องการที่จะประสบความสำเร็จนั้นจะต้องมีการทำการวิจัยและพัฒนาอย่างทุ่มเทและต่อเนื่องจึงจะประสบความสำเร็จได้ เหมือนกับที่บริษัทไฮเทคต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการลงทุนอย่างมากในส่วนของการวิจัยและพัฒนา แต่หากเราจะมองย้อนกลับมาที่กระทิงแดงจะพบว่า เป็นธุรกิจที่มีการทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์น้อยมาก เพราะส่วนผสมของกระทิงแดงนั้นยังคงสูตรเดิม ทำให้ไม่ต้องเสียเงินอย่างน้อย 5-10% ของผลกำไรที่จะต้องนำไปใช้จ่ายในส่วนของการทำวิจัยและพัฒนาเช่นบริษัทไฮเทคทั่วไป
อย่างไรก็ตาม มีอยู่เรื่องเดียวที่กระทิงแดงต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอคือในเรื่องของรสชาติ ที่จะต้องมีการปรับปรุงให้ถูกปากกับคนแต่ละประเทศตามความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาค แต่ถ้ามีการปรับปรุงรสชาติจนเป็นที่พอใจแล้วดูเหมือนว่าการทำวิจัย ก็น่าจะไม่มีความจำเป็นอีกเลย สินค้าของคุณเฉลียวกลายเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกไปแล้ว หากผมจะกล่าวว่าคงมีไม่กี่คนนักที่จะไม่เคยดื่มโคคา โคล่า และผมว่าอีกไม่นานก็คงจะเกิดขึ้นกับกระทิงแดงเช่นกัน จุดสำคัญคือ มูลค่าผลประโยชน์ต่อขวดของกระทิงแดงมีมากกว่า โคคา โคล่ามาก หากเทียบปริมาณ และการเติบโตของกระทิงแดงก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดด จนไล่จี้โคคา โคลา เข้ามาติดๆ เพราะคุณเฉลียวมองว่าสินค้าของเขาเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาเพื่อตอบสนองคนที่ต้องการใช้พลังงานทั้งโลก
ผมอยากให้คนไทยมองไปถึงอนาคตว่าตลาดเป็นของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็ตาม คนไทยก็เช่นกัน หากเรามีการคิดและมองสินค้าของคนไทยเราให้เป็นเหมือนกับที่คุณเฉลียวทำ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของคุณภาพสินค้าหรือการบริการ ที่สามารถทำให้ชาวโลกยอมรับและชื่นชอบได้ผมเชื่อเหลือเกินว่าจะมีคนไทยอีกหลายคนที่จะสามารถก้าวขึ้นมาสู่ระดับนานาชาติได้อย่างคุณเฉลียว ผมขอให้กำลังใจท่านผู้อ่านทุกท่านเพราะผมเชื่อว่า หากคนเรามีกำลังใจที่ดีแล้ว การก้าวเดินไปข้างหน้าก็จะเป็นไปอย่างมั่นคง และทุกย่างก้าวไปย่อมมีโอกาสสู่เป้าหมายได้ โดยที่ถนนสายนี้อาจจะเต็มไปด้วยความลำบากแต่เราจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคในเบื้องต้นไปได้ เพราหากใจเราสู้แล้ว หนทางสู่ความสำเร็จก็ผ่านไปแล้วกว่าครึ่ง เพียงแต่เราต้องไม่ตั้งตัวดำเนินชีวิตอยู่บนความประมาท
ประวัติ
คุณเฉลียว อยู่วิทยา หรือ “โกเหลียว” เจ้าของกิจการเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง มีพื้นเพมาจากครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน คุณเฉลียวเกิดที่บ้านเขารูปช้าง ตำบลหัวดง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2465 ปัจจุบันมีอายุได้ 84 ปี เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนบุตรทั้งสิ้น 5 คน บิดาของคุณเฉลียวคือนายเช่ง แซ่สี่ หรือสี่เซ่ง (อยู่วิทยา) และมารดาคือนางทองอยู่ ซึ่งบิดาของคุณเฉลียวว่ากันว่าเป็นชาวจีนไหหลำ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าอพยพจากจีนมายังเมืองไทยเมื่อใด หรือเกิดในเมืองไทยกันแน่ ทราบแต่เพียงว่ามารดาของคุณเฉลียวคือนางทองอยู่มีพื้นเพดั้งเดิมเป็นคนไทยอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี
ครอบครัวของคุณเฉลียวเป็นครอบครัวที่ต้องหาเลี้ยงชีพอย่างปากกัดตีนถีบอยู่ ด้วยเหตุนี้ทำให้คุณเฉลียวและพี่ๆ น้องๆ ต้องอยู่อย่างปากกัดตีนถีบ และช่วยบิดามารดาทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่เด็กๆ ในตอนหลังได้เดินทางไปทำงานกับพี่ชายที่พิจิตรทำหน้าที่เป็นพนักงานเดินตลาด แต่หลังจากทำงานที่บริษัทแห่งนี้ได้เพียง 1 ปี บริษัทนี้ก็เลิกกิจการไป ทำให้คุณเฉลียวต้องหันเหอาชีพการงานจากลูกจ้างกินเงินเดือนมาเป็นพ่อค้าขายของกินเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ขายขนุน ทุเรียน เนื้อเค็ม และยังรับจ้างโยงเรือให้กับญี่ปุ่น
จากการทำอาชีพค้าขายทำให้คุณเฉลียวได้รับบทเรียนสอนใจจากการทำธุรกิจครั้งแรกว่า …ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจใดก็แล้วแต่ จำเป็นจะต้องมีความรู้อย่างถ่องแท้ในธุรกิจนั้นๆ เพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียในการลงทุน และการทุ่มเทเวลาที่สูญเปล่า
จากนั้นคุณเฉลียวได้มาช่วยพี่ชายทำงานที่ร้านขายยาที่จังหวัดพิจิตรอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้าสู่วงการยา พอพี่ชายเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อเปิดร้านขายยา คุณเฉลียวก็ย้ายตามพี่ชายเข้ามากรุงเทพฯ แล้วไปทำงานเป็นเซลล์แมนขายยาให้กับบริษัทแลดเดอร์เล่ย์จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายยาออริโอมัยซินจากต่างประเทศ และก็ย้ายไปเป็นเซลล์แมนขายยาชนิดเดียวกันนี้ให้กับบริษัท เอฟ.อี. ซีริก จำกัด หลังจากเป็นเซลล์แมนอยู่ถึง 7 ปี คุณเฉลียวได้ลาออกจากงานและนำประสบการณ์นี้มาเปิดร้านขายยาและโรงงานผลิตยาเล็กๆ ของตัวเองขึ้นมาที่ถนนสิบสามห้าง ย่านบางลำพู เมื่อเกิดสงครามโลกเข้ามาถึงเมืองไทย ทำให้เกิดภาวะการขาดแคลนยารักษาโรคขึ้น เขาจึงเกิดความคิดที่จะเป็นนายหน้าสั่งยาจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย
พ.ศ. 2505 หลังจากกิจการผลิตและจำหน่ายยาดำเนินไปได้ด้วยดีและไปได้สวย คุณเฉลียวซึ่งในตอนนั้นกลายเป็นเถ้าแก่เฉลียวแล้วก็คิดที่จะขยับขยายกิจการย้ายโรงงานผลิตยาไปตั้งอยู่ในที่กว้างขวางกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่เฉลียวจึงย้ายที่ทำการโรงงานมาอยู่บริเวณตรอกเสถียร ใกล้กับโรงแรมรอยัล หรือโรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา โดยเถ้าแก่เฉลียวได้ซื้อที่ดินแปลงนี้แบบผ่อนชำระ นอกจากนี้เถ้าแก่เฉลียวยังได้เริ่มต้นทำธุรกิจรถแท็กซี่ให้เช่าจำนวนร้อยกว่าคันอีกด้วยนอกเหนือไปจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยาปฏิชีวนะ ซึ่งรายได้จากค่าเช่ารถนั้นเขาก็ได้นำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยาอีกทางหนึ่ง
เมื่อช่องทางนี้ไปได้ดี, เถ้าแก่เฉลียวพบว่ายาทีซีมัยซินเป็นยาที่ขายดีที่สุดและทำกำไรมากที่สุด ดังนั้นใน พ.ศ. 2508 เถ้าแก่เฉลียวจึงได้ตั้งบริษัททีซีมัยซินจำกัดขึ้นเพื่อเป็นบริษัทผลิตยา ทำการผลิตและจำหน่ายยาปฏิชีวนะประเภทมัยซินซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีสรรพคุณแก้ไข้แก้ปวด มีโรงงานอยู่แถวคลองหลอด ผลิตยาทีซีมัยซิน ยาน้ำเบบี้ดอล ยาเม็ดลาย ฯลฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และยังมีการวางแผนการตลาดด้วยการทุ่มโฆษณาทุกรูปแบบทั้งลดแลกแจกแถมเพื่อจูงใจคนซื้อ ปรากฏว่ามีคนนิยมมาใช้ยายี่ห้อนี้กันอย่างมากมายทีเดียว
พ.ศ.2513 ที่ดินบริเวณนั้นถูกทางราชการเวนคืน เขาจึงย้ายโรงงานมาสร้างใหม่ที่ย่านบางบอน เขตบางขุนเทียน ฝั่งธนบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และคุณเฉลียวยังเพิ่มการผลิตยาชนิดอื่นๆ อีกด้วย อย่างเช่นยาสีฟันแบลนเด็กซ์ แป้งแทดทู เป็นต้น และนอกจากนี้ยังผลิตแชมพูสระผมเพื่อจำหน่ายอีกด้วย ซึ่งสินค้าตัวใหม่ที่ผลิตคือยาสีฟันแบลนเด็กซ์นั้นเถ้าแก่เฉลียวได้รับช่วงต่อมาจากบริษัทเวชกิจจำกัด ซึ่งเป็นกิจการครอบครัวของเพื่อนคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมจึงต้องชะลอการลงทุน และต่อมาก็ถอนตัวออกจากตลาด
พ.ศ. 2515 คุณเฉลียวได้ร่วมทุนกับเจ้าของบริษัทขายยาแอตแลนติก ซึ่งเป็นเพื่อนที่ชื่อสมยศ วนาสวัสดิ์ เพื่อก่อตั้งบริษัทบางกอกรัษฎาและทรัสต์จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ โดยคุณเฉลียวถือหุ้นประมาณ 25% เมื่อธุรกิจยาเริ่มชะลอตัวลง คุณเฉลียวจึงหันมาจับตลาดเครื่องดื่มประเภทชูกำลังเมื่อกว่า 30 ปีก่อน โดยในพ.ศ. 2519 คุณเฉลียวเริ่มต้นคิดค้นผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ “กระทิงแดง” ในเวลานั้นมีเครื่องดื่มชูกำลังที่มีชื่อเสียงและตีตลาดอยู่แล้วคือลิโพวิตันดีของบริษัทโอสถสภา (เต็กเฮงหยู) ของตระกูลโอสถานุเคราะห์ และใน พ.ศ. 2521 ได้จัดตั้งบริษัทที.ซี.ฟาร์มาซูติคอล อุตสาหกรรม จำกัด ขึ้นมา และ “กระทิงแดง” ก็แจ้งเกิดในปี พ.ศ. 2522 การที่กระทิงแดงของคุณเฉลียวกลายเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ได้รับความนิยมนั้นวิเคราะห์กันว่าเพราะอาศัยพื้นฐานการตลาดจากตลาดยาทีซีมัยซินเป็นตัวนำร่องกระทิงแดง และยังใช้กลยุทธ์การตลาดอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้กระทิงแดงเหนือกว่าเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้ออื่นๆ ทั้งเป็นเครื่องดื่มชูกำลังที่ถูกปากคนไทย โดยเฉพาะผู้บริโภคตลาดล่างคือผู้ใช้แรงงาน
หลังจากนั้นคุณเฉลียวได้เริ่มสร้างตำนานกระทิงแดงโดยการตั้งโรงงานแถวถนนเอกชัย เริ่มจากโรงงานเล็กๆ บนเนื้อที่ไม่กี่ไร่ และใช้พนักงานไม่ถึง 10 คน เฉลียวก็เป็นคนออกแบบโลโก้ยี่ห้อกระทิงแดงเอง เบื้องหลังการใช้ยี่ห้อกระทิงแดงนั้นก็เพราะเขาเห็นว่ามันแปลกดี ประกอบกับความหมายของกระทิงแดงก็ให้ความหมายที่ดีในแง่ของพลัง ต่อมาคุณเฉลียวได้ผลิต ”สุรากระทิงแดง” “สปอนเซอร์” และผลิตเหล้าผลไม้ยี่ห้อ “สปาย ไวน์คูลเลอร์” แต่ที่สำคัญคือใน พ.ศ. 2527 เป็นปีที่กระทิงแดงเริ่มบุกตลาดโลก เริ่มต้นที่เมืองซัลส์บัวร์กในประเทศออสเตรเลีย และตีตลาดจนกลายเป็นเครื่องดื่มยี่ห้อดังของออสเตรเลีย
ปัจจุบันไดย์ทริช มาเตชิทซ์ (Dietrich Mateschitz) เป็นเจ้าของและผู้จัดจำหน่ายกระทิงแดงภายใต้ชื่อ เรดบูล ในตลาดยุโรป โดยบริษัทกระทิงแดงของไทยยังคงเป็นเจ้าของสัญลักษณ์ และถือหุ้นใหญ่จำนวน 51 เปอร์เซนต์ (เฉลียว อยู่วิทยา 49% เฉลิม อยู่วิทยา 2%) ในขณะที่มหาเศรษฐีชาวออสเตรียถือหุ้น 49% เป็นผู้ทำตลาดในยุโรป และอเมริกา ปัจจุบันกระทิงแดงมียอดจำหน่ายมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง และมีพนักงานอยู่ประมาณ 1,850 คน กระทิงแดงที่ขายในยุโรปและอเมริกาจะมีรูปร่างและรูปแบบต่างจากที่ขายในเมืองไทย เพราะในเมืองไทยจะคุ้นเคยกับเครื่องดื่มที่บรรจุในขวดทรงเหลี่ยมสีน้ำตาล แต่ในตลาดยุโรปและอเมริกา บรรจุภัณฑ์จะเป็นกระป๋องสีฟ้า ส่วนแถบเอเชียจะเป็นกระป๋องสีทองกับสีแดง แต่ใช้ยี่ห้อเดียวกันคือ Red Bull ทั้งหมด
เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดงในเมืองไทยอาจจะเป็นเครื่องดื่มสำหรับตลาดล่าง แต่ในต่างประเทศแล้วเครื่องดื่มกระทิงแดงหรือเรดบูลและเรดบูลเอ็กตรา กลับเป็นเครื่องดื่มที่ตีตลาดกลุ่มวัยรุ่นในยุโรป อเมริกา และประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักเที่ยว ที่จะผสมเรดบูลกับเหล้า และเรดบูลก็กำลังขยายการตลาดเข้าสู่กลุ่มคนโดยทั่วๆ ไปอีกด้วย
ในต่างประเทศมักไม่ทราบว่ากระทิงแดงนั้นมีต้นกำเนิดจากเมืองไทย อย่างไรก็ตาม คงต้องยกเครดิตทั้งหมดนี้ให้แก่ ดีทริช มาเทสชิทส์ ชาวออสเตรีย ได้ค้นพบและติดใจในรสชาติของกระทิงแดงตอนทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดให้กับบริษัทเบล็นแด็กซ์ (Blendax) ผู้ผลิตยาสีฟันของเยอรมนี ความสำเร็จของกระทิงแดงมาจากการที่ดีทริช เป็นผู้วางที่ทางของสินค้าโดยสร้างภาพให้กระทิงแดงเป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความ “แรง” โดยมุ่งเป้าไปสู่กลุ่มเด็กนักเรียนมหาวิทยาลัย และหนุ่มๆ วัยทำงาน ใช้การเป็นสปอนเซอร์ กีฬาโลดโผน และกีฬาที่อาศัยความเร็วเช่นการแข่งรถฟอร์มูล่าวันเป็นการโปรโมตสินค้า Red Bull สามารถทำยอดขายสูงถึง 2 หมื่นล้านกระป๋อง ใน 120 ประเทศ ขณะที่ตลาดแคนาดา Red Bull ราคากระป๋องละ 3 ดอลลาร์ (90 บาท) ส่วนในสหรัฐอเมริกาตกที่ 1.99 ต่อกระป๋อง กระทิงแดงขายดีจนหนังสือพิมพ์ ดิ อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2547 กล่าวว่า ยอดขายเฉพาะในอังกฤษเมื่อปีก่อนสูงถึง 213 ล้านกระป๋อง ส่วนยอดขายทั่วโลกนี่ผ่านระดับ 1.6 พันล้านกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว ดังขนาดได้รับฉายาให้เป็นรถปอร์เช่ ในบรรดาเครื่องดื่ม Soft Drinks เลยทีเดียว นิตยสารฟอร์บส์ประเมินมูลค่าของบริษัทอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปี 2546
แม้ว่าคุณเฉลียวจะมีชื่อติดอันดับเศรษฐีโลก แต่ความเป็นอยู่ของเขายังคงความสมถะ เรียบง่ายเช่นที่ผ่านมา ยังขยันทำงานทุกวันอยู่ในบริเวณโรงงาน ไม่นิยมครื่องประดับหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่ไปไหนมาไหนด้วยรถโก้หรูราคาแพง ๆ และไม่นิยมสูทราคาแพง แต่นิยมการต่างกายธรรมดามากกว่า และใส่นาฬิกาเรือนเก่ายี่ห้อมิโด ปัจจุบันอาณาจักรกระทิงแดงของคุณเฉลียวมีกิจการในเครือมากกว่า 50 บริษัทและมีที่ดินสะสมไว้มากมายการดำเนินชีวิตทั้งการทำธุรกิจและด้านส่วนตัวของมหาเศรษฐีอย่างคุณเฉลียว อยู่วิทยาเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรศึกษาและนำเป็นแบบอย่าง
####
“เฉลียว อยู่วิทยา บุรุษผู้ซ่อนกาย”
คอลัมน์ ถนนสายนี้ไม่มีทางลัด โดย สาโรจน์ มณีรัตน์ นสพ. มติชน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 ธ.ค. 2549
เชื่อว่าหลายคนคงได้ยิน และรู้จักเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดงเป็นอย่างดี เพราะกระทิงแดง ไม่เพียงเป็นแบรนด์ดังแค่เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น
หากในต่างประเทศ แบรนด์ “เรดบูล” หรือ “Red Bull” ในชื่อภาษาอังกฤษ ก็เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแถบประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย
ทั้งนั้นเพราะ “Red Bull” เป็นผู้สนับสนุนกีฬาหลักๆ อย่างการแข่งขันรถยนต์ฟอร์มูล่า-1 การแข่งขันเอ็กซ์-ตรีม และการเข้าไปร่วมจัดกิจกรรมคนกล้า ท้ามฤตยูในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
แต่ขณะเดียวกัน ชื่อของ “เฉลียว อยู่วิทยา” ผู้บริหารสูงสุดของบริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด อาจถูกรับรู้อยู่ในวงแคบ เพราะตลอดชีวิตผ่านมา น้อยครั้งมากที่เขาจะปรากฏตัวต่อสาธารณะ
น้อยครั้งมากที่จะให้สัมภาษณ์
และน้อยครั้งมาก ที่จะแสดงความคิดเห็นผ่านเวทีต่างๆ ทั้งนั้นเพราะเขาเลือกที่จะทำงาน มากกว่าพูด เลือกที่จะปฏิบัติ มากกว่าคิด
เพราะการคิด หากไม่ลงมือปฏิบัติ ก็เท่ากับเป็นความฝันแบบลมๆ แล้ง เหตุนี้เอง ตลอดชีวิตผ่านมากว่า 80 ปี “เฉลียว” จึงเลือกที่จะทำงาน มากกว่านั่งฝัน
แม้กระทั่งปัจจุบันก็ตาม !
ซึ่งเรื่องนี้ “สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา” ลูกสาวคนโต ปัจจุบันนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด เคยให้สัมภาษณ์คอลัมน์เปิดอก ในนิตยสารดิฉันว่า…
“ทุกวันนี้ ป๋าจะขี่จักรยานตอนเช้า ใส่เสื้อตัวเดียว นุ่งกางเกงแพร ใส่หมวกงอบ แล้วขี่จักรยานวนไปรอบๆ โรงงาน เจออะไรไม่เรียบร้อย ก็จะแวะเข้าไปดู”
“จนมีเรื่องตลกเล่าว่า ครั้งหนึ่งมียามหน้าใหม่ไม่รู้จักเฉลียว อยู่วิทยา เมื่อเขาเห็นลุงแก่ๆ ขี่จักรยานเข้ามาในโรงงาน ซึ่งเป็นเขตที่คนนอกห้ามเข้า เขาจึงตะโกนห้ามว่า…ลุง…ลุง…ห้ามเข้า เผอิญยามอีก 2 คน ซึ่งเป็นยามเก่าเห็นพอดี จึงเดินมาสะกิด และบอกยามหนุ่มว่านี่คือผู้จัดการโรงงาน งานนั้นก็เลยเล่นเอายามหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี”
นอกจากเรื่องดังกล่าว “สุทธิรัตน์” ยังเล่าถึง “ป๋า” หรือ “เฉลียว” ตอนที่บุกเบิกธุรกิจในนิตยสารเล่มเดียวกันว่า…
“ป๋าคือผู้บุกเบิก และก่อตั้งบริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง และจากบริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คน จนกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพนักงานเป็นพันคน และจากเครื่องดื่มที่ป๋าต้องเอาไปเทสต์ตลาด โดยการเปิดให้คนขับรถสิบล้อชิมฟรี”
“จนกลายเป็นเครื่องดื่มเรดบูล ที่จำหน่ายในประเทศต่างๆ กว่า 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกา แอฟริกา และเอเชีย มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย แต่ที่เป็นเช่นนั้น เพราะป๋าทำงานหนักมาตลอด”
เป็นการทำงานหนักตั้งแต่เด็กๆ เพราะหลังจากที่ “เฉลียว” จบชั้นประถม 4 เขาทำงานทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นขึ้นล่องส่งผลไม้จากเหนือลงใต้
หรือขาไปนำทุเรียนลงเรือแจวเต็มลำ แต่ขากลับนำส้มโอลงมาขาย
เขาก็ทำมาแล้ว !
กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และขณะนั้นเมืองไทยกำลังขาดแคลนเครื่องยาเวชภัณฑ์ เขาจึงเกิดไอเดียว่า ถ้าสั่งยาจากต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทย เห็นทีต้องขายได้แน่ๆ
โดยเฉพาะยาประเภทแก้ปวดหัว ตัวร้อน และยาแก้ไข้เด็ก
ซึ่งก็เป็นจริง แล้วหลังจากนั้น เขาก็เกิดความคิดที่อยากจะตั้งโรงงานผลิตยาเสียเอง ซึ่งมียาแก้ไข ที.ซี.มัยซิน,ยาน้ำเบบี้ดอล,ยาเม็ดลาย และอื่นๆ อีกมาก
กล่าวกันว่า ธุรกิจยาทำให้ “เฉลียว” มีเงินเข้ากระเป๋าอยู่พอสมควร จนทำให้เขาเริ่มมองไปที่ธุรกิจอื่นๆ บ้าง โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มชูกำลัง
เพราะขณะนั้นเครื่องดื่มชูกำลังอย่างลิโพวิตันดี ของประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างจะเป็นผู้นำตลาด จนทิ้ง “ป๊อปปิ้นดี” ซึ่งเป็นแบรนด์ของไทย
“เฉลียว”เกิดความคิดว่า เมื่อช่องว่างทางการตลาดห่างชั้นกันอย่างไม่เห็นฝุ่น เขาก็น่าที่จะสร้างแบรนด์ใหม่เข้ามาแทรกตลาดได้
ที่สุดจึงลอนซ์โปรดัคต์ “กระทิงแดง” ออกสู่ตลาดเมื่อหลายสิบปีผ่านมา บนเนื้อที่ไม่กี่ไร่ บริเวณถนนเอกชัย และเริ่มต้นจากพนักงานไม่ถึง 10 คน
ที่สำคัญ โลโก้กระทิงแดง “เฉลียว” เป็นคนออกแบบเองด้วย เพราะเห็นว่ากระทิงเป็นสัญลักษณ์ของพลัง ดังนั้น ถ้าใครดื่มเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ “กระทิงแดง” คนคนนั้นก็จะมีพลังทำงานอย่างมหาศาล
ซึ่งเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี แต่แล้วจู่ๆ “พล.ต.สุตสาย หัสดิน ณ อยุธยา” ผู้นำกลุ่มการเมืองกระทิงแดงสมัย 14 ตุลาคม 2516-6 ตุลาคม 2519 ก็ออกมาประกาศว่า “เฉลียว” มีนัยยะอะไรซ่อนเร้นหรือเปล่า
เพราะชื่อเครื่องดื่มชูกำลังไปพ้องกับชื่อกลุ่มการเมือง
ผลเช่นนี้เอง จึงทำให้ “เฉลียว” ต้องนำเอกสารจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จากกระทรวงพาณิชย์ออกมายืนยันว่าเครื่องหมายการค้ายี่ห้อกระทิงแดง จดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2516
ที่สุดทุกอย่างจึงจบลงด้วยดี !
แล้วจากนั้น “กระทิงแดง” ก็โลดแล่นไปตามเกมธุรกิจ ที่ไม่เพียงจะทำให้ยอดขายทวีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หากในปี 2531 “เฉลียว” ยังได้ร่วมทุนกับ “มร.ดีทริช มาเดอชิทช์” ด้วยการนำ “Red Bull” ออกสู่ตลาดโลก
ซึ่งเรื่องนี้ “สุทธิรัตน์” ให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับเดียวกันว่า…
“ตอนแรกที่เรดบูลเข้าไปในตลาดยุโรป ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่หินที่สุด เพราะคนยุโรปไม่คุ้นเคยกับคำว่า energy drink ดังนั้น เมื่อกระทิงแดงคือสินค้าตัวแรกที่คนยุโรปรู้จัก เขาจึงรู้สึกงงๆ อยู่บ้าง ยิ่งเมื่อเขาเห็นคำว่า Produce of Thailand เขาก็ยิ่งงงเข้าไปอีก”
“อีกอย่างกระทิงแดงที่ขายในยุโรป และอเมริกามีรูปร่าง และรูปแบบแตกต่างไปจากที่ขายในเมืองไทย เพราะเมืองไทยจะคุ้นเคยกับเครื่องดื่มที่บรรจุในขวดทรงเหลี่ยมสีน้ำตาล แต่ในตลาดยุโรป และอเมริกา บรรจุภัณฑ์จะเป็นกระป๋องสีฟ้า ส่วนแถบเอเชียจะเป็นกระป๋องสีทอง กับสีแดง แต่ใช้ยี่ห้อเดียวกันคือเรดบูลทั้งหมด”
นอกจากมุมมองในเรื่องธุรกิจ “สุทธิรัตน์” ยังให้สัมภาษณ์พูดถึง “ป๋า” ของเธออีกว่า…
“ทั้งเนื้อทั้งตัวของป๋า ไม่มีเครื่องประดับอื่นเลย นอกจากนาฬิกาเรือนเดียวยี่ห้อราโด้ เสื้อผ้าก็ไม่ยอมซื้อ ไม่พกเงิน ป๋าชอบใช้ชีวิตเรียบง่ายๆ สมถะ แต่สิ่งที่ป๋าสอนลูกๆแบบไม่สอนเลยคือป๋าจะทำงานตลอดเวลา คือทำให้ลูกๆ เห็น”
“ซึ่งดิฉัน ก็เชื่อว่าลูกๆ ก็ได้รับอิทธิพลจากป๋ามาบ้าง และครั้งหนึ่ง มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเสนอชื่อที่จะมอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้แก่ป๋า แต่ป๋ากลับปฏิเสธ และบอกเขาไปว่า ผมว่าไม่เป็นการยุติธรรมเลย เพราะผมไม่ได้เรียนมา จะไปเอาเปรียบกับคนที่เรียนมาได้อย่างไร”
นั่นเป็นตัวตนของ “เฉลียว” อย่างหนึ่ง ที่คนใกล้ชิดรู้จักเป็นอย่างดี ดังนั้น ไม่ว่าวันนี้ และวันหน้า ที่ชายปัจฉิมวัยจะมีอายุ 80 กว่าปีแล้วก็ตาม
แต่ก็เชื่อได้ว่า “เฉลียว” คือบุคคลหนึ่ง ที่เขียนประวัติศาสตร์ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก ทั้งๆ ที่เขาจบเพียงชั้นประถม 4 เท่านั้นเอง
แต่สามารถสร้างตัว จนกลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 292 ของโลก และมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของประเทศไทย ด้วยการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ ในปี 2548
เป็น 2548 ที่เชื่อมโยงไปถึงปี 2549 ก็เชื่อได้ว่า “เฉลียว” คงมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกมากมาย มากมายจนใครก็คาดไม่ถึงว่า ทำไมเขาถึงเป็นบุรุษผู้ซ่อนกายมาจนวันนี้
จนวันที่แทบไม่มีใครเคยเห็นร่างเงาของเขาเลย ?
Credit :
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=thosaponk&month=12-2006&date=07&group=8&gblog=34
สุด ยอด
ตามแบบฉบับ เสื่อผืนหมอนใบ จิงๆ
ตามแบบคนขาจร รักสงบ
ปู่ของผม ชื่อนายกุ๋ย รัศมีจันทร์ มาจากเมืองจีนเป็นอาของคุณเฉลียว เคยมาอาศัยอยู่กับปู่ของผมตอนมาจากเมืองจีนใหม่ๆ