นักลงทุนที่จริงจังและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งนั้น ผมเชื่อว่าจะต้องมีวิวัฒนาการในเรื่องของหลักความคิดและวิธีการลงทุน ไม่มาก ก็น้อย ความหมายก็คือ เป็นเรื่องยากที่นักลงทุนจะสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยความคิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ และสามารถใช้หลักการและวิธีการนั้นได้ตลอดไป นอกจากนั้น ภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปก็ทำให้แนวทางที่เคยใช้และประสบความสำเร็จ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดต่อไป อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆ บางทีแทบไม่รู้ตัว
วิวัฒนาการที่รุนแรงจนอาจจะเรียกว่าเป็นการปฎิวัติวิธีการลงทุนที่ผมคิดว่าเป็นทางบวก ก็คือ การปรับเปลี่ยนตัวเองจากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรเป็นการลงทุนที่ยึดแนวทางแบบ Value Investment นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่หลายๆคน เขาอาจจะไม่ต้องผ่านวิวัฒนาการนี้เลยเพราะคำว่า Value Investment ไม่ใช่เรื่องที่คนไม่รู้จักอีกต่อไป และนักลงทุนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มต้นชีวิตการลงทุนในแนวทางนี้อย่างมั่นคง
วิวัฒนาการเรื่องที่สองที่ผมคิดว่าน่าจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อความมั่งคั่งส่วนตัว ก็คือ การจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินต่างๆ ความคิดของการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆที่หลากหลาย ทั้งเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ หน่วยลงทุน และหุ้น กับความคิดในการเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์เฉพาะอย่าง เป็นเรื่องที่จะตัดสินชะตากรรมทางการเงินของคนได้มหาศาล
ผมเอง เริ่มจากการกระจายการลงทุนตามตำราที่ร่ำเรียนมาและโดยสามัญสำนึก แต่วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ และกลายเป็นคนที่มีทรัพย์สิน 99% อยู่ในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรือผิด สำหรับหลายๆคน นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะความผิดพลาดถ้าเกิดขึ้นอาจจะกลายเป็นหายนะ แต่สำหรับผม นี่คือวิวัฒนาการ ดังนั้น ผมคิดว่าผมปรับตัวกับมันได้เป็นอย่างดี และเท่าที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด สำหรับอีกหลายคน การปรับตัวจากการมีหุ้นเพียงน้อยตัวเป็นหุ้นมากตัว หรือการมีพันธบัตร มีหน่วยลงทุน หรือมีความหลากหลายของการลงทุนอาจจะเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นก็เป็นได้
วิวัฒนาการต่อมาที่ผมคิดว่ากำลังเป็นมากขึ้นเรื่อยๆของผมก็คือ การวิ่งหา “คุณภาพ” มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ลดความเข้มข้นทางด้านราคาที่ถูกของหุ้นลง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหุ้นที่มีราคาถูกอาจจะมีน้อยลงในภาวะปัจจุบัน เมื่อเทียบกับช่วงที่ผมเริ่มการลงทุนแบบ Value Investment ใหม่ ๆ หลังวิกฤติเศรษฐกิจ
วิวัฒนาการอีกอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องระยะเวลาของการถือครองหุ้น เมื่อคนมีประสบการณ์การลงทุนมานานขึ้น ระยะเวลาของการถือหุ้นอาจจะเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่ก็น่าจะนานขึ้น การ “Take Profit” หรือ การ “Cut Loss” อาจจะเปลี่ยนแปลง หลายๆคน “Let Profit Run” และ “Cut Loss” เร็ว นี้เป็นวิวัฒนาการที่อาจจะสำคัญมากสำหรับหลายคน สำหรับผมเอง วิวัฒนาการของผมก็คือ ผมแทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมถือหุ้นยาวเกินกว่าที่จะพูดถึงเรื่องกำไร เพราะหุ้นเกือบทุกตัวถ้าจะนับกำไรก็มีกำไรมหาศาล แต่เป็นกำไรที่ถือมา 5 หรือ 10 ปี ซึ่งทำให้ไม่มีความหมายมากนักในแง่ของการลงทุน
วิวัฒนาการที่ผมคิดว่า Value Investor น่าจะต้องมีก็คือ เรื่องของความคึกคักของหุ้น นี่คือความคิดว่า หุ้นที่น่าสนใจหรือเข้าข่ายที่จะซื้อจะต้องเป็นหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงพอสมควร มีรายงานการวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ หรืออย่างน้อย ต้องเป็นหุ้นที่มีการพูดถึงกันในอินเตอร์เน็ตในหมู่ Value Investor ด้วยกัน เช่นเดียวกัน หุ้นที่เข้าข่ายจะต้องมีความเคลื่อนไหวของราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นเหล่านี้ ผมคิดว่าวิวัฒนาการควรจะเป็นการเคลื่อนจากการดูกิจกรรมของหุ้น มาเป็นการดูกิจกรรมทางธุรกิจและผลการดำเนินงาน เพราะนี่คือวิวัฒนาการที่จะนำให้เราไปสู่การเป็น Value Investor ที่ดีขึ้น และจะทำให้เราสามารถค้นพบหุ้นที่จะสร้างผลตอบแทนมหาศาลได้
วิวัฒนาการที่ผมเริ่มสังเกตอีกอย่างหนึ่ง และน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของการลงทุน ในแง่ผลตอบแทนก็คือ การซื้อหุ้นแต่ละตัวในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจำได้ว่าในช่วงแรกของการลงทุนแบบ Value Investment ของผมนั้น ผมซื้อเป็นหลักร้อยหรือพันหุ้นก็ถือว่ามากแล้ว แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่า ผมจะซื้อเป็นหลักแสนหรือล้านหุ้นในหุ้นแต่ละตัว เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมีการแตกพาร์ของหุ้นจาก 10 บาทเป็น 1 บาท เป็นส่วนใหญ่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพอร์ตของหุ้นมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่ดี และอีกส่วนหนึ่งมาจากการพยายามที่จะเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวลง และแต่ละตัวมีจำนวนหุ้นที่มากขึ้น ประสบการณ์ของผมก็คือ หุ้นที่ผมมีมากอย่างมีนัยสำคัญ มักจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นที่เป็นเบี้ยหัวแตก
ผมเชื่อว่าผมคงจะมีวิวัฒนาการต่อไปเรื่อย ทั้งอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัว Value Investor ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่จริงจังกับการลงทุน ถ้าเราลงทุนมา 5 ปี แล้วและเมื่อมองย้อนหลังกลับไปพบว่า เรายังทำแบบเดิมทุกอย่าง เราคงจะต้องทบทวนว่ามีอะไรผิดหรือไม่ เป็นไปได้ว่าเรายังทำอย่างเดิมทุกอย่างเพราะมันเป็นสิ่งที่ดีและไม่มีอะไรผิด แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า เรากำลังจมอยู่กับกลยุทธ์ที่ล้มเหลวไม่ก้าวหน้า และจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น อย่าลืมว่า แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์เอง ก็บอกว่า ตนเองนั้นมีวิวัฒนาการ สิ่งที่เขาทำในวันนี้ แตกต่างไปมากจากสิ่งที่เขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงต้นๆในชีวิตการลงทุนของเขา
วิวัฒนาการ
โลกในมุมมอง Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร