แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ เอกชนบ่นต้นทุนเพิ่ม ค่าครองชีพสูง
พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์รายวันข้างต้น ทำให้น่าสงสัยว่า
ทำไมแบงก์ชาติจึงต้องทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบด้วย?
เศรษฐกิจดี แบงก์ชาติจะกลัวอะไรกับเงินเฟ้อ
อุปมาดั่งปาร์ตี้กำลังสนุก แบงก์ชาติเคาะแก้วแล้วบอกว่างานเลิกแล้ว ...
คนไทยไม่เคยหอบเงินใส่กระสอบไปจ่ายตลาด
แต่คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซื้อขนมปังตอนเย็นแพงกว่าที่ซื้อตอนกลางวันและตอนเช้า
ท่านลองจินตนาการดูว่าในเช้าวันรุ่งขึ้น คนเยอรมันในยุคนั้นจะรู้สึกอย่างไร
สถานการณ์ทำนองนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา
คนไทยจึงอาจเห็นผลเสียของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาสินค้า หรือที่เรียกว่าเงินเฟ้อไม่ชัดเจนนัก
ดังนั้น ในบทความนี้ ผมจะพยายามอธิบายว่า
เงินเฟ้อที่สูงๆเลวร้ายอย่างไร ทั้งต่อตัวเราและต่อเศรษฐกิจของประเทศ?
เงินเฟ้อที่กล่าวข้างต้น ถ้าจะว่าตามหลักวิชา ต้องเรียกว่าภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นภาวะที่ราคาสินค้าบริการ
ค่าเช่าและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ประชาชนทั่วไปต้องบริโภคสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง
คำถามที่ตามมา คือ แล้วเงินเฟ้อสูงเลวร้ายอย่างไร?
ผลเสียประการแรก ก็คือ เงินในกระเป๋าของทุกคนมีค่าน้อยลง
เช่น คนเยอรมันในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ที่มีเงินพอซื้อขนมปังตอนเช้าได้พอดี ตกเวลาบ่ายซื้อขนมปังไม่ได้แล้ว
ประการที่สอง คือ เงินเฟ้อเพิ่มความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น
เพราะคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด คงหนีไม่พ้นคนที่ไม่มีอำนาจต่อรองให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งไม่เฉพาะแต่คนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น
ยังรวมถึงคนที่บากบั่นขยันหมั่นเพียรเก็บหอมรอบริบ จนมีเงินออมฝากไว้กับธนาคาร
เพราะในที่สุดแล้วเงินออมนั้นจะมีค่าเหลือนิดเดียวหากเงินเฟ้อสูงมากๆ
แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ใช้จ่ายเกินตัวจนเป็นหนี้ กลับได้รับประโยชน์จากค่าเงินที่ลดลง
เพราะแม้เขาต้องใช้หนี้เงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแล้ว
ค่าของเงินตอนที่ใช้หนี้ก็ยังน้อยกว่าค่าของเงินตอนที่เขากู้มา
ข้อเสียอันนี้ยังเกี่ยวโยงไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของภาครัฐด้วย
ภาครัฐที่ใช้จ่ายเกินตัว และเกินระดับที่เหมาะสม
ผลที่ตามมาคือ เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็คงหนีไม่พ้นประชาชน
เพราะภาระที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ ทำให้ประชาชนต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อบริโภคเท่าเดิม
เปรียบเสมือนต้องเสียภาษี จึงเรียกกันว่า "ภาษีเงินเฟ้อ" ซึ่งเลวร้ายกว่าภาษีอื่นๆ
เพราะเก็บแบบไม่บอกกล่าว เดาสุ่ม และที่แย่สุดคือ พวกไม่มีอำนาจต่อรองให้ทันกับเงินเฟ้อ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากที่สุด
ประการที่สาม คือ เงินเฟ้อสูงๆทำให้ความเสี่ยงในการทำธุรกิจสูงขึ้น
เนื่องจากผู้ผลิตกำหนดราคาขายได้ยาก เพราะคาดการณ์กำลังซื้อของลูกค้าไม่ได้
การวางแผนการผลิตและการลงทุนก็ทำได้ยาก เพราะต้นทุนต่างๆทั้งราคาวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าเช่า
ดอกเบี้ย สูงขึ้นพรวดพราด ถือเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุนในประเทศ
เมื่อการลงทุนใหม่ๆไม่เกิดขึ้น
การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันของประเทศย่อมทำได้ยาก
ประการที่สี่ ถ้าเงินเฟ้อของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าของไทยย่อมสูงกว่า
ทำให้ขายของแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ กระทบกับการส่งออก เศรษฐกิจก็มีปัญหา
นักลงทุนต่างชาติที่คิดจะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย
คงเลือกที่จะไปตั้งฐานการผลิตในประเทศที่มีต้นทุนต่ำและคงที่มากกว่าแน่นอน
ประการที่ห้า คือ เงินเฟ้อมักมีพลังขับเคลื่อนตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเมื่อของแพง ต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้น
ผู้ผลิตก็ต้องปรับราคาสินค้า ลูกจ้างก็เรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตก็บอกค่าจ้างแพง ปรับราคาอีก
เป็นวงจร เรียกว่า Wage-price spiral
ซึ่งจะทำลายความมั่งคั่งของประชาชนและเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ผลเสียประเด็นสุดท้าย ที่อยากเน้น คือ
เงินเฟ้อเป็นตัวทำลายทั้งบรรยากาศการออม การค้า และการลงทุน
ดังนั้น ผู้รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจของประเทศจึงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า
มาตรการที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วเกินธรรมชาติในระยะสั้นนั้น คงไม่ได้ผลที่จีรัง
แต่กลับจะมีผลร้ายหากเกิดเงินเฟ้อ ซึ่งมีผลบั่นทอนความกินดีอยู่ดีของประชาชน
และทำลายศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
การดูแลเงินเฟ้อถือเป็นพันธกิจสำคัญของธนาคารกลางทั่วโลก
โดยเครื่องมือหลักที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ใช้ดูแลเงินเฟ้อ คือ อัตราดอกเบี้ย
จริงอยู่ การขึ้นดอกเบี้ยเป็นการเพิ่มต้นทุนแก่ผู้กู้ในระยะสั้น
แต่ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินเฟ้อสูงจนควบคุมไม่อยู่
ผลเสียที่ตามมาในระยะยาวจะสูงกว่าภาระดอกเบี้ยในระยะสั้นมาก
แม้แต่ธุรกิจก็ต้องเดือดร้อน เพราะหากเงินเฟ้อสูงสัก 20%..
..ในอนาคตท่านก็ต้องกู้มาลงทุนในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 20%
หากทางการรักษาเงินเฟ้อให้ต่ำได้ในระยะยาวต้นทุนการกู้ยืมก็จะถูกลงมาด้วย
สุดท้ายนี้ผมขอฝากไว้ว่า เงินเฟ้อต่ำเป็นหัวใจสำคัญต่อการเติบโตของประเทศในระยะยาวก็จริง
แต่เงินเฟ้อต่ำเพียงอย่างเดียว คงไม่พอที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้
แต่เรายังต้องอาศัยหัวใจสำคัญ คือ การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของเอกชน
และการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ และมีคุณภาพจากภาครัฐควบคู่กันไป
*บทความนี้ เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล
จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย*
เงินเฟ้อน่ากลัวจริงหรือ?
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน
กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม 2554